ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก ๒ ตุลาคม ๒๕๕๘
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันศุกร์ ที่ ๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจาก คุณเพ็ญโฉม วสันตสิงห์ ประธานฝ่ายกิจกรรมสัมพันธ์ มูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก และ คุณหญิงแสงเดือน ณ นคร ประธานมูลนิธิฯ เพื่อไปสนทนาธรรมกับคณะกรรมการและอาสาสมัครของมูลนิธิฯ ณ ห้องประชุมชั้น ๓ อาคารมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๒.๐๐ น.
คุณเพ็ญโฉม วสันตสิงห์ ปัจจุบันท่านมีอายุ ๙๑ ปีแล้ว แต่ยังมีสุขภาพแข็งแรง เป็นกำลังสำคัญท่านหนึ่งของมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก ในการบำเพ็ญประโยชน์นานาประการเพื่อการสงเคราะห์ดูแลครอบครัวของทหารหาญที่เสียสละปกป้องดูแลความมั่นคงของชาติ ท่านเป็นเพื่อนของท่านอาจารย์มาแต่สมัยยังเยาว์ และเพิ่งได้พบกับท่านอาจารย์ที่หัวหินโดยบังเอิญ เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุให้มีการสนทนาธรรมขึ้นที่นี่ ในวันนี้
มูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๑๑ โดยท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร ภริยาของจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในสมัยนั้น โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะให้การสงเคราะห์ช่วยเหลือแก่ครอบครัวของทหารผ่านศึก ซึ่งออกไปปฏิบัติการเพื่อปกป้องประเทศชาติ
มูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก ทำการหาทุนเพียงปีละครั้ง ด้วยการจำหน่ายดอกไม้ที่ระลึกวันทหารผ่านศึก (ดอกป๊อบปี้) ซึ่งเป็นดอกไม้สีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของทหารผ่านศึก สีแดงเป็นสีของเลือด ทำให้เรารำลึกถึงเลือดของทหารที่ไหลรินชโลมแผ่นดินในสมรภูมิ โดยกำหนดให้มีการจำหน่ายดอกป๊อบปี้ในวันทหารผ่านศึก ๓ กุมภาพันธ์ ของทุกปี ปัจจุบันผู้ดำรงตำแหน่งประธานมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก คือ คุณหญิงแสงเดือน ณ นคร
อันดับต่อไปนี้ จึงจะขออนุญาตนำความการสนทนา ซึ่งเป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ควรจดจำอย่างยิ่ง ในวาระที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้สนทนาธรรมกับท่านผู้ใหญ่หลายท่านที่มีคุณูปการต่อประเทศชาติมาอย่างยาวนาน และแก่อาสาสมัครผู้บำเพ็ญประโยชน์ของมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก เป็นขณะของความดีสูงสุด คือ ปัญญา ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ในพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีข้อความการสนทนาที่ไพเราะอย่างยิ่ง ที่กล่าวถึงความจริงและความดี โดยความเข้าใจที่ถูกต้องตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ควรที่จะได้มีการบันทึกไว้เป็นเกียรติประวัติสืบไป ในวาระอันเป็นมงคลยิ่งที่ผ่านไปแล้ว หมดไปแล้ว และไม่มีวันจะหวนกลับมาได้อีกเลยในสังสารวัฏฏ์
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นนะคะ ธรรมะ เป็นเรื่องที่ต้องคิด ไตร่ตรอง เพราะเหตุว่า จะต้องเป็นความเข้าใจของเราเอง ถ้าเราฟังแล้ว สองชั่วโมง สองเดือน สองปี แต่ไม่เข้าใจอะไร ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้น ไม่ขึ้นอยู่กับว่าจะฟังน้อยฟังมาก แต่ขอให้เข้าใจแต่ละคำ ที่ได้ฟัง เพราะเหตุว่า พระธรรมเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งขณะนี้ก็มีสิ่งที่มีจริงๆ แล้วเราก็ไม่เคยได้ฟังความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เลย ต่อเมื่อไหร่ ได้ฟังแต่ละคำของพระพุทธเจ้า จะรู้ว่า เป็นคำที่ลึกซึ้ง เพราะกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง แต่จะยากไหม? ลองคิดดู เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของคนอื่น!!!
เพราะฉะนั้น ต้องต่างกับคำของคนอื่นทั้งหมด แม้ในสมัยพุทธกาลก็มีคำของครูบาอาจารย์มากมาย แต่ก็ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ก็เห็นว่า มีผู้ที่มีโอกาสจะเข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ จึงทรงแสดง
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร? แล้วเราเป็นใคร? เราเป็นปุถุชน หมายความว่า คนที่ยังมีกิเลสมากและยังไม่มีความเข้าใจอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง แต่พระองค์ไม่มีใครเปรียบได้เลย ไม่ว่าสวรรค์ เทพชั้นใด หรือพรหมชั้นใดก็ตาม มาเฝ้าเพื่อกราบทูลถามสิ่งที่แม้พวกพรหมเหล่านั้น ทำกุศลจนกระทั่งเกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม ก็ยังไม่สามารถที่จะรู้อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้
ด้วยเหตุนี้ แต่ละคำ ก็เป็นคำที่มีค่าอย่างยิ่ง เป็นธรรมรัตนะ ที่เรากล่าวว่าพระรัตนตรัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธรัตนะ เพราะทรงตรัสรู้ความจริง แต่ถ้าเรายังไม่ได้ฟังความจริงเลย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร รู้ความจริงอะไร ด้วยเหตุนี้ จึงทรงแสดงพระธรรม ให้คนอื่น มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจ จนกระทั่งเป็นปัญญาของตนเอง
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะแต่ละครั้ง เพื่อเข้าใจธรรมะ คือ คำที่ได้ฟังจริงๆ เป็นผู้ที่ตรงต่อตนเองและธรรมะด้วย เพราะว่าข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า ผู้ที่เป็นผู้ตรงเท่านั้นที่จะได้สาระจากพระธรรม เพราะฉะนั้น แต่ละคำ "ตรง" เพราะเหตุว่าเป็นความจริงซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ เปลี่ยนไม่ได้เลยสักคำเดียว เป็นคำที่เมื่อตรัสไว้แล้ว ไม่เป็นสอง คือ ไม่เปลี่ยน จะเปลี่ยนได้อย่างไรเมื่อทรงตรัสรู้ความจริง ถึงที่สุด
ด้วยเหตุนี้ พระธรรมที่ทรงแสดง สามารถที่จะเข้าใจได้ทุกกาลสมัย แม้ในสมัยนี้เอง แต่ต้องรู้ว่าลึกซึ้งและยาก เพราะเหตุว่า เป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่รู้ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงให้คนอื่น เริ่มเข้าใจความจริงนั้นด้วย ด้วยเหตุนี้พระธรรมที่ทรงแสดงที่จะทำให้เข้าใจจนกระทั่งถึงการดับกิเลสได้ จึงเป็นธรรมรัตนะ พระรัตนตรัยมี ๓ พระพุทธรัตนะ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมรัตนะ คือ ธรรมะซึ่งน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่า สามารถที่จะทำให้เกิดความเห็นถูกความเข้าใจถูก ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า "ปัญญา" คนไทยเราใช้คำนี้ แต่ไม่ได้เข้าใจว่า ปัญญา รู้ความจริง แต่ว่า ความจริง นั้นคืออะไร?
เพราะฉะนั้น จะเป็นประโยชน์มาก ถ้าเราได้ฟังแต่ละคำ แล้วก็พิจารณา จนกระทั่งเข้าใจคำนั้นจริงๆ เช่น ปัญญา รู้อะไร? ถ้ายังไม่ฟังก็ยาก คนโน้นก็คิดว่าปัญญารู้อย่างนั้น ปัญญารู้อย่างนี้ ปัญญาสามารถที่จะสร้างสิ่งต่างๆ ที่ดูเหมือนน่าอัศจรรย์ในแต่ละยุคสมัย แต่ไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักจิต ไม่รู้จักความสุข ความทุกข์ เพราะคนที่มีความสามารถก็ยังมีทุกข์
เพราะฉะนั้น แสดงให้เห็นว่า ต่างกันมากกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งผู้ใดที่ได้ฟังเข้าใจแล้ว จะค่อยๆ พ้นจากความทุกข์ เพราะเหตุว่า จริงๆ แล้ว มีทุกข์ทุกขณะ แต่ก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น สามารถที่จะรู้ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จากความเป็นปุถุชน ผู้ไม่รู้อะไรเลย ผู้มากด้วยกิเลส ค่อยๆ เข้าใจขึ้นจนกระทั่งละความไม่รู้และค่อยๆ ละคลายกิเลส จนกระทั่งกิเลสดับหมดไม่เหลือ นี่คือความน่าอัศจรรย์ยิ่งของพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจากผู้ที่มีกิเลสมาก ไม่มีกิเลสเลย เมื่อได้เข้าใจความจริง
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา ก็ยังมีจารึกในพระไตรปิฎก แต่ว่า คนที่อ่านออกเขียนได้ อ่านพระไตรปิฎกได้ แต่ไม่เข้าใจ ต้องอาศัยการฟังและการไตร่ตรองแล้วก็เข้าใจแต่ละคำ ขณะนี้ ก็เข้าใจความหมายของรัตนะทั้ง ๓ คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็น พระพุทธรัตนะ พระธรรมที่ทรงแสดง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ เป็นธรรมรัตนะ และผู้ที่ดับกิเลสได้จริงตามที่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดง เป็นพระสงฆ์สาวก แต่ต้องเป็นอริยสงฆ์ผู้ที่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรมแล้ว จึงเป็นรัตนะ เป็นสังฆรัตนะ
เพราะฉะนั้น ที่เรากล่าวถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง ต้องเป็นผู้ตรง ถ้าเรายังไม่เข้าใจพระธรรม เรายังไม่ได้พึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ได้แต่กราบไหว้บูชา แต่บูชาอะไร? เพราะเหตุว่า ถ้ายังไม่ได้ศึกษาธรรมะ ไม่เข้าใจธรรมะ เราบูชา "ชื่อ" พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาพระคุณที่มีผู้กล่าวว่าพระองค์ได้ทรงตรัสรู้และดับกิเลสหมดแล้ว แต่เรายังไม่ได้เข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย!!!
เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้ตรง ก็จะตรงกับข้อความที่ทรงแสดงไว้ในพระไตรปิฎก "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" พระผู้มีพระภาคฯตรัสด้วยพระองค์เอง เพราะเหตุว่าความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้อยู่ที่รูปร่างกาย ไม่ได้อยู่ที่ความเป็นเจ้าชายในสกุลศากยะ แต่ว่า จากพระปัญญาคุณซึ่งสามารถที่จะรู้ความจริง ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลยในจักรวาลทั้งหมด เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพระคุณนาม เพราะฉะนั้น ก็จะได้เห็นว่า เพียงได้ยินชื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและกล่าวว่าขอถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ตรงกว่านั้น คือ พึ่งพระองค์ ด้วยการฟังพระธรรม และเห็นคุณของพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ ที่หมดจากกิเลส และพระมหากรุณาคุณ ที่ถ้าไม่ตรัสคำสอนใดๆ คนอื่นไม่มีทางเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ว่าความจริงเป็นอย่างนี้!!!
ซึ่งพระธรรมคำสอน สามารถที่จะรู้และเข้าใจได้ทุกกาลสมัย เพราะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าที่ไหนก็มีสิ่งที่มีจริง เราอาจจะบอกว่า มีคน มีสัตว์ มีเทวดา มีพรหม มีดอกไม้ มีภูเขาไฟ มีอะไรต่างๆ ถ้ารู้เพียงเท่านี้ ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ทรงตรัสรู้ละเอียดยิ่งกว่านั้น ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ถึงทีละหนึ่งของสิ่งที่มีจริง เช่น ขณะนี้ "เห็น" มีจริงๆ ใครเคยรู้ความจริงของ "เห็น" บ้าง? เป็น "เราเห็น" มานานแสนนาน เหมือนปุถุชนที่ไม่ได้ฟังพระธรรม เขาเข้าใจว่าเขาเห็น ทุกคนก็เข้าใจว่าเห็น สัตว์ก็เห็น นกก็เห็น แต่ลืมคิด ว่าเห็นต้องเกิดขึ้น ถ้าเห็นไม่เกิด ไม่มีเห็น อย่างคนตาบอด ไม่เห็น เพราะเห็นไม่เกิด
เพราะฉะนั้น ถ้าโลกนี้ว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่มีโลก!!! ไม่มีอะไร แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สื่งนั้นแหละเป็นโลก มีแล้ว เกิดแล้ว ขณะนี้ที่ว่าเป็นโลก ก็เพราะเหตุว่า มีหลายสิ่งเกิดขึ้นพร้อมกันหมดเลยทั้งโลก ก็เลยเข้าใจว่าโลกมีมากมายหลายอย่าง มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ความจริงต้องเป็นทีละหนึ่ง ซึ่งหลากหลายมาก และไม่ซ้ำกันด้วย เช่น "เห็น" มีจริงๆ "ได้ยิน" มีจริงๆ แต่ เห็น ไม่ใช่ ได้ยิน เห็นต้องเกิดในขณะที่เห็น ได้ยินต้องเกิดในขณะที่ได้ยิน เพราะฉะนั้น เราเข้าใจว่ามีคน มีสัตว์ มีโลก แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกอย่าง แต่ละหนึ่ง ละเอียดอย่างยิ่ง จนแสดงให้เข้าใจถูกต้องว่า สิ่งที่มีทั้งหมด เกิด ถ้าไม่เกิด ไม่มี แต่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ใครจะคิดบ้างว่า "เห็น" ขณะนี้ เกิดแล้วดับ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกคำที่ทรงแสดงเป็นความจริงของสภาพธรรมะทุกอย่างซึ่งเกิด เมื่อเกิดแล้วต้องดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เสียงขณะนี้ ก่อนเสียงปรากฏ ไม่มีเสียง แล้วเสียงก็เกิดขึ้น ปรากฏว่ามี เสียงนี้ ไม่ใช่เสียงอื่น แล้วเสียงนี้ก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดง แสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง และใช้คำว่า "ธรรมะ" ซึ่งคำว่าธรรมะ เป็นภาษามคธี แต่ว่าเราเอามาใช้ในภาษาไทย แต่เราเผินมาก ชอบใช้คำภาษาอื่นโดยที่ไม่ได้เข้าใจความจริงอย่างละเอียดยิ่งของคำนั้น เพราะฉะนั้น จะใช้คำไหนเราก็ใช้ ตามใจชอบ แต่ว่าไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วคำนั้น ความจริงคืออะไร อย่างธรรมะ ใครจะตอบบ้าง ว่าธรรมะคืออะไร? แต่พูดแล้วใช่ไหม? ต้องมีคนพูดแน่ๆ ยุติธรรมก็พูด อธรรมก็พูด แต่ว่า ลึกซึ้งกว่านั้นคือ แค่ "ธรรมะ" คำเดียว ต้องหมายความถึงสิ่งที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มี แล้วจะไปตรัสรู้อะไร?
เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ก็คือ ทรงตรัสรู้สิ่งที่มี ซึ่งคนอื่นไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ด้วยการตรัสรู้ ตรัสรู้สิ่งที่มี ไม่ว่าวันนี้มีอะไรเกิดขึ้นทั้งหมด ตั้งแต่เช้าจนถึงเมื่อวานนี้ พรุ่งนี้ต่อไป ทุกสิ่งที่มีจริงเป็นธรรมะ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งจากไม่มี ก็มี แล้วก็หามีไม่ ซึ่งไม่สามารถจะไปตามหาได้อีกเลยในสังสารวัฏฏ์
เพราะฉะนั้น เกิดมาชั่วคราว ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าแน่นอน แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า วันไหนจะสิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ ไม่อยากจะจากโลกนี้ แต่มีใครบ้าง ที่ไม่จากไป? แต่ก่อนจากไป คิดบ้างไหม? ว่าระหว่างที่มีชีวิตอยู่ เราทำอะไรบ้าง? หรือมีอะไรเกิดกับเราบ้าง? ดี-ชั่ว แค่ไหน? ไม่รู้เลย แต่ว่า จากการได้ฟังพระธรรม เห็นธรรมะตามความเป็นจริงว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ละหนึ่ง ตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นได้โดยความปรารถนา โดยความต้องการ อยากจะไม่โกรธ ก็โกรธ ไม่อยากจะคิด ก็คิด แสดงความเป็นอนัตตา ธรรมะทั้งหลายเกิดขึ้น ดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาได้ แต่ละคนเกิดแล้ว เลือกเกิดไม่ได้เลย ขณะที่เกิด ไม่รู้ด้วยว่าอยู่ไหน? มาจากไหน? แต่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดงความจริงของธรรมะทั้งหมดที่มี ทุกอย่าง แม้แต่ในขณะที่เกิด และเมื่อเกิดแล้ว ต่อไปเป็นอย่างไร แต่ละสภาพธรรมะ จนกระทั่งถึงขณะสุดท้าย ถึงแม้ว่า เราใช้คำว่า ตาย หมายความถึงจิตขณะสุดท้ายเกิดแล้วดับไป พ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ไม่กลับมาที่จะเป็นคนนี้อีกได้เลย แต่ก็มีการที่จะต้องเกิดสืบต่อทันที
เพราะฉะนั้น เราพูดถึงจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ก็เปลี่ยนเป็นว่า จะเกิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ใช่ไหม? เพราะเหตุว่า ตายแล้วเกิด ทันที!!! นี่ใครรู้? ขณะนี้ ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นสิ่งที่มีทั้งหมด แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมเลย ไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงให้คนเข้าใจถูกต้อง จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ หมดความไม่รู้ หมดกิเลส ทีละเล็ก ทีละน้อย จนกระทั่ง ที่ทุกคนบอกว่า ถ้าหมดกิเลสได้ ต้องสบายแน่ เพราะเหตุว่า ที่เป็นทุกข์ เดือดร้อน เพราะกิเลส
ถึงแม้ว่าจะแข็งแรงดี ใจเป็นทุกข์ได้ไหม? แน่นอนเลย มีทรัพย์สมบัติมาก ใจเป็นทุกข์ได้ไหม? มีชื่อเสียงมาก เป็นทุกข์ได้ไหม? มีเกียรติยศมาก ชั่วคราวทั้งหมด!!! แต่ว่า ยาทั้งหลาย สามารถรักษาได้เพียงกาย แต่ใจ ใครจะรักษาได้? แต่ผู้ที่จะทรงรักษาได้ผู้เดียวคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงรักษาไข้ สภาพธรรมที่ทำลายจิตคือกิเลส ทำให้จิตเศร้าหมอง เดือดร้อน เป็นทุกข์มาก ด้วยประการต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่พระผู้มีพระภาคฯก็ทรงแสดงความจริงซึ่งเหมือนยาที่รักษาโรคซึ่งคนอื่นรักษาไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น เกิดมา คนที่จะพ้นจากทุกข์กาย ไม่มี ต้องป่วยไข้ได้เจ็บ นิดๆ หน่อยๆ ก็ต้องมีใช่ไหม? เราก็แสวงหายาเพื่อที่จะรักษา แต่ไม่เคยคิดที่จะแสวงหายาที่จะรักษาโรคกิเลส ที่นำความทุกข์มาให้
เพราะฉะนั้น ถ้ามีโอกาสได้ฟังพระธรรม และ ประโยชน์ของการฟังไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ จากใคร วันไหน เวลาไหน ก็คือ ขอให้เข้าใจคำที่ได้ฟัง สำหรับวันนี้ ก็มีคำว่า ธรรมะ หมายความถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เริ่มรู้ว่า ไม่ได้เพียงแค่กุศลธรรม อกุศลธรรม หรือ อธรรมอย่างที่เราเคยได้ยิน ยุติธรรม อะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่เริ่มเข้าใจคำนี้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งต้องเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ได้ทรงตรัสรู้สิ่งที่ไม่มี และสิ่งที่มี ไม่ใช่ว่าผ่านไปไม่รู้ ถ้าผ่านไปไม่รู้จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ทุกอย่างที่ปรากฏว่ามีจริง ทุกอย่างนั้น เป็นธรรมะ!!! ได้ยินคำว่า ธรรมะ ก็คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดปรากฏว่ามีจริงๆ เพราะฉะนั้น "เสียง" เป็นธรรมะหรือเปล่า? เป็นแน่นอน มีจริง "คิด" เป็นธรรมะหรือเปล่า? เป็น เมื่อไหร่ เมื่อคิด เพราะฉะนั้น ขณะไหนก็ตามที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นจริง จะบอกว่าไม่จริงไม่ได้ แต่เราไม่รู้ว่าเราคิดเรื่องอะไร และทำไมเราคิดอย่างนั้น และคิดดีหรือเปล่า? หรือว่าคิดไม่ดี? ทั้งหมดเป็นคำสอนอย่างละเอียดยิ่ง ด้วยพระมหากรุณาที่จะทำให้คนที่ได้ฟัง มีความเข้าใจสิ่งที่มีแล้ว ตั้งแต่เกิด และกำลังมีในขณะนี้ แล้วก็จะมีต่อไปด้วย
ก็เป็นเรื่องที่ละเอียด อาจจะเคยได้ยินได้ฟังคำคนอื่น เรื่องอื่นมามาก แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องทรงแสดงความจริงของสิ่งซึ่งกำลังมี ให้เข้าใจความจริงว่า นี่แหละคือธรรมะ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา นานถึงอย่างนั้น เพื่ออะไร? เพื่อให้เข้าใจจริงๆ ไม่ใช่ฟังเผินๆ แล้วก็ได้ยินคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็กราบไหว้บูชา เพียงคิดว่าพระองค์เป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีใครเทียบเท่า แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือว่า ได้ประโยชน์จากการที่พระองค์ตรัสคำจริง ให้เราสามารถที่จะเข้าใจได้
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด เป็นธรรมะ แต่ต้องไม่ลืม แต่ละหนึ่ง ปนกันไม่ได้เลย เห็นไม่ใช่ได้ยิน คิดไม่ใช่จำ สุขไม่ใช่ทุกข์ ชอบไม่ใช่ไม่ชอบ ทั้งหมดในชีวิต เป็นธรรมะ เพราะฉะนั้น ขณะแรกที่เกิด เราเกิด หรือว่า อะไรเกิด?
ทุกอย่าง ทุกขณะ เป็นธรรมะ ซึ่งเป็นอนัตตา เริ่มเข้าใจธรรมะ เป็นสิ่งที่มีจริงทุกขณะ คำใดก็ตามที่กล่าวถึงความจริงของธรรมะ คำนั้นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นวาจาสัจจะ จริงเพราะว่ามีสิ่งที่เป็นจริงในขณะนั้น ที่สามารถที่จะเข้าใจได้
ยังมีคำถามไหม? เรื่องตั้งสติ ตั้งไม่ได้ เพราะยังไม่รู้จักสติ ถ้าได้ยินคำว่าสติ เป็นจิตหรือเปล่า? เรามี ๓ คำ จิต เจตสิก รูป ถ้าพูดถึงสติ เป็นจิตหรือเปล่า? ไม่ใช่ เป็นอะไรคะ? เป็นเจตสิก เห็นไหม จิตรู้อย่างเดียว เจตสิกมีทั้งหมด ๕๒ ประเภท ทั้งวันของเราคือจิตและเจตสิก ประเภทหนึ่งประเภทใด
เราไม่ต้องไปไกลมาก เพียงแต่ให้เข้าใจแต่ละคำให้ถูกต้อง ว่าคำไหนเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือพูดถึงสิ่งที่มี พระองค์ตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ไม่มี เพราะฉะนั้น ความจริงนี้เป็นความจริงซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย แล้วแต่ว่าใครจะได้ยินได้ฟัง ใครจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน ถ้าเข้าใจเมื่อไหร่ "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" รู้ว่าขณะนี้พระองค์ตรัสรู้เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป
เมื่อกี้นี้ยังไม่มีคำตอบหรือว่ามีแล้ว ขอให้ดังๆ หน่อยได้ไหม "สติ" เป็นธรรมะหรือเปล่า? ได้ยินคำนี้บ่อยๆ แต่เข้าใจผิดมากๆ เดินดีๆ ถ้าไม่มีสติเดี๋ยวรถจะชน ผิดแล้ว!!!
เพราะเหตุว่า "สติ" เป็นธรรมะฝ่ายดี คือ ขณะนั้น ไม่ใช่โลภะความติดข้อง ไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ เมื่อเป็นธรรมะฝ่ายดี เกิดแล้วเป็นไปในทางดี ขณะใดที่ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ไม่ใช่เรา!!! สติเจตสิกเกิดขึ้น ระลึกเป็นไปในการให้ เห็นไหม? ถ้าขณะนั้นเราไม่ได้ให้ ก็เพราะสติไม่ได้ระลึกเป็นไปในการให้ เพราะฉะนั้น สติ เป็นสภาพธรรมะฝ่ายดี ความดีทั้งหมด จิตที่ดีทุกขณะ เพราะสติเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น ขณะใดที่โกรธ ขณะนั้นไม่มีสติเกิดร่วมด้วย แต่พอมีความเมตตา ทุกคนเกิดมานี่เหมือนกันหมด เกิดมาเพราะความไม่รู้ ทุกคนเป็นไปตามกรรม ดีชั่วต่างกันตามการสะสม แล้วก็จะจากโลกนี้ไป จะโกรธกันทำไมและโกรธอะไร? โกรธ "เห็น" หรือว่า โกรธ "ได้ยิน" หรือว่า โกรธ "คิด" แต่โกรธไปแล้วก็กลายเป็นคน ซึ่งเราไม่ชอบหรือว่าเขาทำสิ่งที่ไม่ดี แต่ความจริงแล้ว ขณะที่กำลังคิดถึงความไม่ดีของคนอื่น จิตขณะนั้นของเรา ดีหรือไม่ดี? ถ้ามีความเมตตา ก็รู้ว่าสิ่งที่ใครก็ตามทำไม่ดี เขาต้องได้รับผลของกรรมนั้น เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปคิดถึงหรือว่าหวังร้ายต่อใครเลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เห็นถูกต้องว่า อกุศลทั้งหลายจะทำร้ายผู้ที่ขณะนั้นมีอกุศล แต่ไม่ใช่หมายความว่า เราเห็นถูกเป็นผิด หรือ เห็นผิดเป็นถูก สิ่งที่ถูกต้องถูก เพราะฉะนั้น ความเมตตาก็คือว่า ให้ทุกคนเป็นคนดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง และจิตเป็นเมตตา ขณะนั้นเป็นสติ ทุกอย่างที่ดี เพราะสติ ธรรมะฝ่ายดีเกิดขึ้น ธรรมะฝ่ายดีซึ่งเป็นเจตสิกมีทั้งหมด ๒๕ ประเภท ในบรรดาเจตสิกทั้งหมด ๕๒ ธรรมะที่เป็นฝ่ายดีมี ๒๕ เจตสิก แสดงว่า ความไม่โกรธ ก็เป็นเจตสิก ไม่ใช่เรา ความไม่ติดข้อง มีการที่จะสละเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่นได้ ขณะนั้นก็ไม่ใช่เราเพราะบางคนสละไม่ได้ เพราะสติไม่เกิด แต่เมื่อใดสติเกิดและเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์แก่คนอื่น ขณะนั้นไม่ใช่เรา แต่สติเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น สติเกิดขึ้น กายดี วาจาดี ใจดี นั่งเฉยๆ ก็ไม่ประทุษร้ายใคร คิดแต่จะช่วยเหลือคนอื่น ขณะนั้นเพราะสติ เพราะฉะนั้น เวลาที่กุศลจิตเกิด เพราะธรรมะฝ่ายดีที่เป็นเจตสิกเกิด ทำให้มีการกระทำที่เป็นกุศล ในทาน การให้ ในศีล หรือว่า ในการอบรมเจริญปัญญา ที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก เพราะสติรู้ว่า การไม่รู้ ไม่เป็นประโยชน์ แต่การรู้ และ การเข้าใจ เป็นประโยชน์ นี่ก็คือ "สติ" และ ขณะนั้นก็เป็น "ปัญญา" ด้วย!!!
ปัญญารู้เลย ถ้าปราศจากปัญญา ก็ต้องวนเวียนไปในสังสาวัฏ จะเกิดดีก็เพราะกรรมดี แต่ก็ไม่รู้อยู่นั่นแหละ!!!
เพราะฉะนั้น ไม่มีโอกาสที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่โอกาสที่ได้ฟัง "คำ" และรู้ว่า คำนี้จะไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟังเลย ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ทำให้เห็นประโยชน์ว่า คำของพระองค์ไม่ได้ยากเกินไป อยู่ที่ว่า เรามีศรัทธา เห็นประโยชน์ และเห็นคุณค่าหรือเปล่า? ว่าเราเกิดมาและจากโลกนี้ไป ด้วยความไม่รู้เหมือนเดิม เหมือนชาติก่อนๆ และถ้ายังไม่รู้เพิ่มขึ้น ติดข้องมากขึ้น แต่การที่เราได้เริ่มเข้าใจความจริง แล้วดีขึ้น แล้วมีปัญญาเข้าใจความจริงขึ้น ก็จะเป็นปัจจัยทำให้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมต่อไปได้เข้าใจเพิ่มขึ้น เพราะบนสวรรค์ มีการฟังธรรมะ มีศาลาสุธรรมา แล้วแต่ว่าใครจะไปฟังหรือไม่ไปฟัง โลกนี้ก็เหมือนกัน มีที่ๆ จะได้ฟังธรรมะ แล้วแต่ว่าใครจะไปฟังหรือไม่ไปฟัง ก็เหมือนกับศาลาสุธรรมา ซึ่งไปเพลิดเพลินอยู่บนนั้น ก็เหมือนกับเสวยสุขในโลกนี้ แต่ก็ไม่ได้ฟังธรรมะ
แต่ว่า มีความสุขด้วย มีความดีด้วย และเข้าใจธรรมะด้วย ย่อมดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น จนถึงการที่จะดับกิเลสได้!!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคณะกรรมการและอาสาสมัครมูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึกทุกท่าน และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ แก่งกระจานคันทรี่คลับ เพชรบุรี ๑๐-๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกาและอินเดีย ๑๖ - ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๓ มหินตาเล-อนุราธปุระ]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกาและอินเดีย ๑๖ - ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๒ โปลอนนารูวา]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกาและอินเดีย ๑๖ - ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๑ จุดเริ่มต้นของการเดินทาง]