ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๑๖

 
khampan.a
วันที่  11 ต.ค. 2558
หมายเลข  27081
อ่าน  2,532

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๑๖

~ ทุกท่านที่มีสมบัติมากๆ ก็จะรู้ได้ว่า จากไปแต่ตัว และทรัพย์สมบัติก็ยังเหลืออยู่ แต่ตัวผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สมบัตินั้นก็ต้องจากไป

~ เป็นความจริงสำหรับคนทุกยุค ทุกสมัย ที่ควรจะกลัวกำลังของกิเลสที่สะสมมาในจิตนานแสนนาน เหมือนอสรพิษที่ขดอยู่ในข้อง ยังไม่มีโอกาสออกมาแสดงพิษร้ายได้

~ พระผู้มีพระภาคตรัสพระธรรมทั้งหลายก็เพื่อที่จะให้เห็นความไม่เป็นประโยชน์ของอกุศล และให้เห็นกำลังของการสะสมอกุศล

~ เมื่อสิ้นชีวิตจากชาตินี้แล้ว จะเป็นคนนั้นอีกต่อไปไม่ได้เลย ไม่มีทางที่จะเป็นคนนั้นอีกได้เลย ถ้าจะศึกษาจากพระชาติต่างๆ ของพระผู้มีพระภาค ก็จะเห็นได้ว่า แต่ละพระชาติก็คือการปรุงแต่งของจิต เจตสิก ซึ่งจะไม่กลับไปเป็นบุคคลนั้นอีก เพราะฉะนั้นในชาติก่อน ท่านจะเคยเป็นใครอยู่ที่ไหน หรือแม้แต่เพียงชาติก่อนชาตินี้ ก็สิ้นสุดความเป็นบุคคลนั้นโดยสิ้นเชิง และชาตินี้ก็กำลังใกล้ต่อการสิ้นสภาพของความเป็นบุคคลนี้ และจะไม่กลับเป็นบุคคลนี้อีก

~ ใครที่มักโกรธในชาตินี้ ให้ทราบว่าชาติก่อนๆ ก็ต้องมักโกรธ แล้วถ้าชาตินี้ยังมักโกรธอย่างชาตินี้ต่อไปอีก ก็ให้นึกถึงภาพชาติหน้าได้ว่าจะเป็นอย่างไร อยากจะเป็นอย่างนั้นต่อไป หรือว่าอยากเป็นอย่างอื่น ที่ไม่ใช่อย่างนี้ ถ้าอยากจะเป็นอย่างอื่น ก็ต้องเริ่มสะสมทางฝ่ายกุศลไว้เสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้

~ กำเนิดต่างๆ ที่เป็นผลของกรรมต่างๆ และมีทุกข์ต่างๆ มีมาก เพราะฉะนั้นที่เกิดเป็นมนุษย์ และยังไม่ได้รับผลของกรรมในอบายภูมิ ก็ยังเป็นผู้มีโอกาสที่จะอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะดับทุกข์ในสังสารวัฏฏ์ ที่จะไม่เกิดในอบายภูมิ ตามควรแก่เหตุ ถ้าตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ก็ยังมีปัจจัยที่ทำให้เกิดในอบายภูมิได้ แต่เมื่อได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นพระโสดาบันแล้วเมื่อไร ก็จะไม่เกิดในอบายภูมิอีกเลย

~ พระพุทธศาสนาทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดปัญญาของตนเอง แต่ถ้าการกระทำใดๆ ก็ตาม วิธีใดๆ ก็ตาม ที่จะใช้คำภาวนาแบบไหนก็ตาม ไม่ทำให้เกิดปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรมทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจตามความเป็นจริง ก็ไม่ใช่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

~ ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรมและไม่ได้อบรมเจริญปัญญาจริงๆ แล้ว ยังไม่สามารถที่จะละคลายกิเลสใดๆ ได้เลย เพราะว่ากิจที่จะละกิเลส ไม่ใช่กิจของโลภะ หรือความเห็นผิดว่าเป็นตัวตนที่เป็นเราสามารถละได้ แต่ต้องเป็นปัญญาที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และก็รู้ว่า ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ

~ พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงทั้งหมดเป็นไปเพื่อเกื้อกูลให้ทุกท่านรู้ตัวว่า ยังมีกิเลสอยู่มากๆ อย่าหลงผิดว่า ลดน้อยลงไปเยอะแล้ว เพราะเหตุว่าถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ กิเลสจะลดไม่ได้ และถ้าไม่มีการกระทำทางกาย ทางวาจา กิเลสก็คงยังไม่ปรากฏให้รู้ได้ว่า ขณะนั้นสะสมอกุศลไว้มากมายเพียงไร, ก่อนที่จะว่าร้าย ทราบไหมว่า อกุศลจิตเกิดมากสักเท่าไร ต้องคิดอยู่ในใจแล้วนาน กว่าจะเปล่งคำที่จะว่าร้าย หรือที่จะเบียดเบียนกันทางวาจาออกมาได้

~ ผู้ที่พร้อมจะให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น เมื่อเห็น เมื่อรู้ความต้องการของบุคคลอื่น ก็เป็นผู้ละเอียดในการเจริญกุศล เพราะรู้ความจำเป็นแล้วมีจิตกรุณาเกิดขึ้น ไม่ต้องรอให้เขาขอ ก็ให้

~ การฟังพระธรรมจะมีประโยชน์ทั้งหมด ทุกกาล บางทีโอกาสนี้อาจจะไม่สามารถประพฤติปฏิบัติตามได้ แต่เมื่อฟังไปๆ ก็ย่อมมีปัจจัยที่จะทำให้กุศลธรรมเจริญขึ้น และอกุศลก็ค่อยๆ ลดลง

~ ขัดเกลาอกุศลจิตด้วยสติสัมปชัญญะ (ระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง) ถ้าโกรธใครที่ทำให้โลกปั่นป่วนเวลานี้ จะได้รู้เสียว่า ขณะนั้นเลวเท่าเขา เพราะขณะนั้นเป็นอกุศลจิตของตนเอง ถ้าดีกว่าเขา คือ ไม่ว่าใครจะเลวหรือใครจะทำไม่ดี ผู้นั้นก็มีสติสัมปชัญญะที่กุศลจิตจะเกิด ไม่ต้องไปเดือดร้อน ใครจะเป็นจะตายก็ต้องเป็นไปตามกรรมทั้งนั้น ไม่ได้อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แต่ว่าอกุศลจิตที่เกิดขณะนั้นเป็นสภาพที่เศร้าหมอง เป็นอกุศล

~ อนุโมทนา คือ พลอยยินดีในกุศลของผู้อื่นกระทำ ส่วนมุทิตา คือ เวลาที่สัตว์อื่นได้ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็มีจิตยินดีในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ที่บุคคลนั้นได้ ไม่ริษยา

~ เมื่อไม่ติด ไม่ยินดีในกาม โทสะก็จะต้องลดน้อยลงเป็นของธรรมดา เพราะเหตุว่าถ้าใครติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะมาก โทสะของคนนั้นก็มากด้วย เพราะเหตุว่าเมื่อไม่ได้สิ่งที่ต้องการ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ต้องการ ขณะนั้นก็เกิดความขุ่นเคือง แต่ว่าเป็นผู้สละความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะลงไป ก็ย่อมเกิดโทสะน้อยลงไปด้วย

~ ผู้ที่มีความประพฤติชั่วทางกาย ทางวาจา ทางใจ ก็ย่อมจะรู้สึกตัวว่า ตนเองเป็นผู้มีสภาพธรรมที่ไม่ดี ในขณะนั้นก็จะรู้สึกเป็นทุกข์โทมนัส (ทุกข์ใจ ไม่สบายใจ)

~ ทำอกุศลแล้วก็ย่อมกลัวผลของอกุศลกรรม ที่จะต้องเกิดขึ้นกับตน ในขณะที่หวั่นไหว กลัวโทษ กลัวผลของอกุศลกรรม ในขณะนั้นก็เป็นทุกข์โทมนัส (ทุกข์ใจ ไม่สบายใจ)

~ สัจจะ (ความจริงใจ) หมายความถึงกุศลจิตซึ่งตรงต่อการอบรมเจริญกุศล เพื่อเป็นบารมี (คุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส) ยิ่งขึ้น ไม่คลาดเคลื่อนจากความคิดที่เป็นไปในกุศล ว่า จะละเว้นการเบียดเบียนผู้อื่นด้วยวาจาที่ไม่น่าฟัง เพราะรู้ว่าทำให้คนอื่นเสียใจ แต่ว่าบางครั้งเวลาโกรธก็ลืมสัจจะนั้นเสียแล้ว หรือว่าไม่ตรงต่อการยับยั้งที่จะไม่พูดวาจาที่ไม่น่าฟังนั้น

~ อกุศลเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์ในขณะนั้น ก็ยังจะสะสมเพิ่มกำลังขึ้นเรื่อยๆ

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๑๕

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 11 ต.ค. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณและสำนึกในพระคุณของท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากรและผู้เกี่ยวข้องทุกท่าน

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 11 ต.ค. 2558

"...ผู้ที่มีความประพฤติชั่วทางกาย ทางวาจา ทางใจ ก็ย่อมจะรู้สึกตัวว่า ตนเองเป็นผู้มีสภาพธรรมที่ไม่ดี ในขณะนั้น ก็จะรู้สึกเป็นทุกข์โทมนัส (ทุกข์ใจ ไม่สบายใจ) ..."

ขอบพระคุณ และ ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
thilda
วันที่ 11 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Boonyavee
วันที่ 11 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
rrebs10576
วันที่ 11 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
Noparat
วันที่ 12 ต.ค. 2558

~ อกุศลเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง นอกจากจะไม่เป็นประโยชน์ในขณะนั้น ก็ยังจะสะสมเพิ่มกำลังขึ้นเรื่อยๆ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 12 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
jirat wen
วันที่ 12 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
jaturong
วันที่ 12 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 12 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
Dechachot
วันที่ 12 ต.ค. 2558

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
peem
วันที่ 14 ต.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
สิริพรรณ
วันที่ 3 ต.ค. 2566

กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบขอบพระคุณ อ.คำปั่นด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ต.ค. 2566

ยินดีในกุศลจิตครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ