สนทนาธรรมกับชาวต่างชาติ 27 ต.ค. 2558
- ผู้ที่เข้าใจสมมติสัจจะได้จริงๆ ต้องเข้าใจปรมัตถสัจจะด้วย
-สมมติแตกต่างจากบัญญัติ
-เมื่อมีปรมัตถจึงมีบัญญัติ เมื่อมีบัญญัติจึงมีสมมติ
-เมื่อพูดถึงกรรม ก็เป็นเพียงสมมติสัจจะ แต่เมื่อเข้าใจขณะที่กรรมเกิดขึ้นจึงเป็น ปรมัตถสัจจะ
-ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริง ไม่ใช่ต้องการรู้นั้นรู้นี้
-รู้ความจริงของความจริงที่กำลังปรากฏ หรือยัง หรืออยากที่จะไปรู้อย่างอื่น
-เมื่อปัญญาไม่พอ โลกไม่โดดเดี่ยวเลย
-อดทนต้องทุกสถานการณ์
-ไม่หวังอะไรนอกจากเข้าใจความจริง
-ทุกสิ่งสามารถเป็นเครื่องเตือนสติได้ หากมีปัญญาเพียงพอ
-เมตตาต้องไม่จำกัดบุคคล
-อุเบกขาที่เป็นเราไม่ใช่อุเบกขาที่เป็น พรหมวิหาร
-เมื่อเข้าใจความเป็นธาตุ ย่อมไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน
-ชีวิตทั้งชีวิตก็มีเพียง เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และคิดนึก แล้วจะไปเป็นเจ้าของอะไร?
-ผู้ที่กล่าวว่า บิดามารดาไม่มีโดยไม่ใช่ด้วย ความเข้าใจเรื่องอนัตตาก็เป็นผู้ที่เห็นผิด เพราะไม่เห็นคุณของบิดามารดา
-ศึกษาพระธรรมเพื่อเข้าใจปัจจุบันขณะ
-ที่สวดกันว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ถามว่าพึ่งเมื่อไหร่ ถ้าไม่ใช่เมื่อเข้าใจ พระธรรม
-ฟังพระธรรมเพื่อให้รู้หนทาง ไม่ใช่ไปปฏิบัติโดยไม่รู้อะไร
-ศีลนั้นมีมาก่อนพระพุทธศาสนา และศีลดังกล่าวไม่ได้ทำให้พ้นทุกข์ใดๆ
- ศีลที่พระพุทธองค์ทรงแสดงละเอียด ลึกซึ้งเพื่อให้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมของศีลที่มีทั้งกุศลศีลและอกุศลศีลและศีลที่วิสุทธิ์อันประกอบด้วยปัญญา
-ทุกคำของพระพุทธองค์เป็นไปเพื่อการละทั้งสิ้น
-ที่สงสัยว่าจะเข้าใจธรรมะได้เร็วไหม? เป็นวิจิกิจฉา
-ที่สงสัยเพราะยังไม่มีศรัทธาในพระธรรม เพียงพอ
-ขณะที่เข้าใจได้เพียงนิดเดียว ดีกว่าไปทำอะไรที่ไม่รู้มาทั้งชีวิต
-ไม่มีใครที่จะรู้ธรรมะได้เท่าพระพุทธองค์ รู้ได้แต่สิ่งที่ปรากฏให้รู้ได้เท่านั้น
-โลภะชอบเรามาก และเราก็ชอบโลภะมาก
-เมื่อเข้าใจแล้ว ไม่มีเรา ที่มีเราเพราะไม่เข้าใจ
-ควรจะรู้โลภะขณะที่เกิด ไม่ใช่ที่เกิดมานานแล้ว
-คิดว่าตนมีความเห็นผิดอยู่มาก แล้วพยายามค้นหานั้นก็ไม่พบเพราะเป็น โลภะ ไม่ใช่ด้วยปัญญา
ภาพ : ฟองจันทร์ วอลช
เนื้อหา : จักรกฤษณ์ เจนเจษฎา