ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๑๙

 
khampan.a
วันที่  1 พ.ย. 2558
หมายเลข  27167
อ่าน  2,418

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๑๙

~ ปัญญา เป็นแสงสว่างที่จะชี้หนทางถูกที่จะประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และสามารถดำเนินไปในทางที่เป็นกุศลทุกๆ เหตุการณ์

~ เป็นความจริงที่ เมื่อเกิดมาแล้ว ทุกคนก็เป็นผู้ที่ยังมีกิเลส ในชีวิตประจำวันจะเห็นได้จริงๆ ว่า ยังเป็นไปตามกำลังของกิเลส ที่จะไม่ให้กิเลสเกิดขึ้นเลยในวันหนึ่งๆ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่จะทำให้กิเลสค่อยๆ ลดกำลังลง ก็คือ การเป็นผู้ที่ไม่ทอดทิ้งการศึกษา การฟังพระธรรม การพิจารณาพระธรรมโดยละเอียด เพื่อที่จะให้เกิดปัญญาที่สามารถจะระลึกได้ รู้ลักษณะของสภาพธรรมในชีวิตประจำวันจริงๆ ซึ่งการดำเนินชีวิตในแต่ละวัน ก็ย่อมแสดงถึงการเคยได้ฟังพระธรรม การเคยได้พิจารณาพระธรรม และการเข้าใจธรรมในอดีตด้วย

~ ควรจะเห็นข้าศึกภายใน คือ ความโกรธของตนเอง แทนที่จะคิดว่า ท่านมีศัตรูหลายคน หรือว่าอาจจะมีคนที่ไม่ชอบท่าน ทำสิ่งที่ไม่ดีกับท่านหลายคน แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ข้าศึกที่แท้จริงอยู่ภายใน คือ ความโกรธของท่านเอง

~ ขณะที่เป็นทุกข์เดือดร้อน ไม่สงบเลย ขณะนั้นรู้สึกอย่างไร เหมือนถูกเผาไหม เพราะฉะนั้น ลักษณะของโทสะย่อมเหมือนอย่างไฟไหม้ป่า คือ โทสะนั้นย่อมเผาจิตใจที่เป็นที่อาศัย โทสะไม่เกิดที่อื่นเลย นอกจากเกิดกับจิต เพราะฉะนั้น ขณะใดที่จิตใดมีโทสเจตสิกเกิดร่วมด้วย ในขณะนั้นสภาพของโทสะเหมือนไฟเผาป่า คือ เป็นสภาพที่ทำให้วัตถุที่อาศัยรุ่มร้อน เดือดร้อน เป็นทุกข์ แม้แต่วัตถุ คือ รูปกายซึ่งเป็นที่อาศัยของจิตก็พลอยหมองไหม้เป็นทุกข์ไปด้วย และก็อาจจะทำให้ถึงกับเป็นโรคภัยต่างๆ ด้วยกำลังของโทสะ

~ มีใครสามารถจะกั้นโทสะไม่ให้เกิดได้ไหม? ไม่มีเลย เมื่อมีเหตุปัจจัยที่โทสะจะเกิด โทสะก็เกิด ถ้าสติจะเกิดภายหลัง ก็สามารถเพียงแต่ขับไล่หรือระงับโทสะซึ่งจะเกิดเพิ่มมากขึ้นนั้นให้คลายไป แต่ว่าถ้ายังไม่เป็นผู้ที่ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด) ถ้ามีปัจจัยของโทสะที่จะเกิด ขณะนั้นโทสะก็ต้องเกิด ตามเหตุตามปัจจัย

~ โทสะไม่ใช่เพียงแต่ความโกรธ ความรู้สึกไม่สบายใจทั้งหมดในวันหนึ่งๆ เป็นสภาพของโทสเจตสิกซึ่งเกิดขึ้นประทุษร้ายจิต แล้วต้องเกิดร่วมกับโทมนัสเวทนาในขณะนั้น


~ กิเลสเป็นสภาพธรรมที่ไม่บริสุทธิ์ เศร้าหมอง, เศร้าหมองในที่นี้หมายความถึงความไม่ผ่องแผ้ว ไม่บริสุทธิ์ เช่น เวลาที่เกิดความยินดี ความพอใจ ความปรารถนา ความต้องการเกิดขึ้น สบายหรือไม่สบายในขณะนั้น กำลังอยากได้สิ่งหนึ่งสิ่งใด สบายหรือไม่สบาย ถ้าไม่อยากได้ ไม่เกิดโลภะ จะสบายกว่านั้นอีก ใช่ไหม? ไม่ต้องปรารถนา ไม่ต้องการ ไม่ต้องพอใจ ไม่ต้องติด ไม่ต้องอยากได้ แต่เวลาที่กำลังอยากได้ กำลังพอใจ อวิชชาไม่สามารถที่จะเห็นได้ว่า ขณะนั้นเป็นสภาพที่เศร้าหมอง ไม่บริสุทธิ์ ไม่สบาย เดือดร้อนแล้ว เพราะความพอใจไม่ว่าจะเกิดความพอใจในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ให้ทราบว่าเป็นความติด เป็นความเศร้าหมอง เป็นความเดือดร้อน ซึ่งอวิชชาไม่สามารถจะรู้ได้

~ กิเลสที่เกิดขึ้นแต่ละขณะ ไม่ว่าจะเป็นโลภะ หรือโทสะ หรือโมหะ ถ้ามีมากๆ จะปรากฏเป็นทุจริตกรรมทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ถ้าไม่มีกิเลสต่างๆ เหล่านั้น อกุศลกรรมทางกาย ทางวาจา เหล่านั้นก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย และเมื่อกรรมได้กระทำไปแล้ว ถึงแม้ว่ากรรม คือ จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมกันกระทำกรรมนั้นสำเร็จลงไปแล้ว ดับไปแล้วก็จริง แต่ว่าการเกิดดับสืบต่อๆ กันของจิตทุกๆ ขณะต่อไป เจตนาที่กระทำกุศลกรรมหรืออกุศลกรรมที่สะสมอยู่นั้น เป็นกัมมปัจจัย เป็นสภาพธรรมที่จะทำให้ผล คือ วิบากเกิดขึ้น

~ กำลังเห็น เลือกไม่ได้เลย ทุกคนอยากจะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ เท่าไหร่ก็ไม่พอ เห็นแล้วก็อยากจะเห็นอีก ทุกวันไป แต่ว่าเลือกไม่ได้ แล้วแต่ว่าจะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ แม้ว่าทุกคนจะมีจักขุปสาทที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏกับจักขุวิญญาณ โดยกระทบกับจักขุปสาทะ แล้วแต่กัมมปัจจัยจะเป็นปัจจัยให้เกิดการเห็นสิ่งที่ดี เป็นผลของกุศลกรรม เห็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นผลของอกุศลกรรม

~ มานะหมายความถึงสภาพที่สำคัญตน ก็อาจจะมีอาการกิริยาที่อาจจะแสดงออกมาให้เห็น ความหยิ่ง ความทะนงตน ดีหรือไม่ดี ไม่ดี เมื่อไม่ดีก็ต้องเป็นสิ่งที่ไม่ดีแน่นอน

~ สัทธรรมคือคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทั้งหมดนำไปสู่การที่จะดับกิเลสให้ถึงความเป็นผู้สงบ โลภะสงบไหม? แต่ว่าบางคนชอบนั่งคนเดียว ชอบอยู่คนเดียว ขณะนั้นสงบหรือเปล่า? ไม่สงบเพราะขณะนั้นเป็นโลภะ นี่คือกว่าเราจะรู้ได้จริงๆ ว่าไม่ใช่เราคิดเอาเองว่าเราอยู่คนเดียว วันนี้ไม่มีใครมารบกวนเลย หรือว่าออกไปป่าเขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้ก็จะคิดว่าสงบ ความจริงก็ไม่ใช่ เพราะว่าถ้าสงบต้องสงบจากอกุศล ไม่ใช่ว่าอยู่คนเดียว เหตุที่จะทำให้เกิดความเห็นผิด ถ้าเราไม่ทราบ เราก็ไม่รู้ว่าเรากำลังสะสมเหตุที่จะทำให้เกิดความเห็นผิดหรือเปล่า แต่ถ้าทราบก็จะได้มีความละเอียดที่จะรู้ว่าประมาทไม่ได้เลย

~ กุศลจิตน้อยมากเมื่อเทียบกับอกุศล เพราะฉะนั้น ถ้าไม่คิดที่จะแก้อกุศล โดยการที่เพิ่มกุศลในทุกๆ ทาง ก็ย่อมไม่มีทางจะดับกิเลสได้ แต่ถ้าเริ่มเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ฝึกตน ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ตรง โดยการเห็นว่า กิเลสทั้งหลายเป็นโทษ และพากเพียรที่จะละกิเลส ถ้าผูกโกรธใคร ลองคิดดูว่า จะเป็นพาลหรือจะเป็นบัณฑิต ถ้าเป็นพาล ก็ผูกโกรธต่อไป ใครก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นบัณฑิต เห็นว่าความผูกโกรธไม่มีประโยชน์เลย เป็นอันตราย เป็นโทษ เพียงแค่อภัยทานยังทำไม่ได้ แล้วจะปฏิบัติธรรมอะไร? (บัณฑิต) ก็มีการพิจารณาตนเองได้ในทุกๆ ทาง และจะทำให้เป็นผู้ที่เพิ่มกุศลจิต ด้วยการทำดีทางกาย ทางวาจา ต่อคนที่คิดว่า ไม่เป็นมิตรกันหรือว่าไม่ถูกกัน นี่คือบัณฑิตที่เป็นผู้ฝึกตน มีจิตใจโอบอ้อมอารี และทำกุศลทุกอย่างทันที

~ ความจริง พระธรรมเป็นยิ่งกว่ามิตรสหาย เพราะเหตุว่าแม้ไม่เห็นตัว แต่ก็ยังฟัง เหมือนกับมีบุคคลที่กำลังแสดงพระธรรมให้ฟัง และถ้าสงสัย ก็ศึกษาและฟังต่อไปอีก พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงพระธรรมไว้โดยละเอียดทุกประการ ซึ่งเหมือนกับการที่จะตอบข้อสงสัยของท่านผู้ฟังได้ บุคคลในสมัยพระผู้มีพระภาค มีความศรัทธา เลื่อมใส และเห็นประโยชน์ของการคบหาสมาคมกับพระธรรม

~ ถ้าฟังไม่เข้าใจ ปฏิบัติจะถูกได้ไหม? ไม่ได้

~ วันหนึ่งวันใด บุญที่ได้กระทำไว้แต่ก่อน ก็ย่อมเป็นเสมือนจักรที่จะผันหรือหมุนให้ไปสู่การที่จะเจริญกุศลได้ ถ้าเป็นผู้ที่ได้กระทำบุญไว้แล้ว เพราะเหตุว่าพระธรรมของพระผู้มีพระภาคนั้น ไม่สาธารณะกับทุกคน แล้วแต่ว่าใครเป็นผู้ที่ได้เคยฟังมาบ้างในครั้งก่อนๆ และได้เป็นผู้ที่มีศรัทธามาแล้วในครั้งก่อนๆ ย่อมเป็นจักรที่จะหมุนหรือผันให้มีโอกาสที่จะได้อยู่ในประเทศที่มีคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีโอกาสที่จะได้ฟังและพิจารณา และตั้งตนไว้ชอบ เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่ได้กระทำบุญไว้ก่อนแล้ว แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้กระทำบุญไว้ก่อน ชาตินี้อาจจะผ่านไป โดยที่ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรม

~ พระผู้มีพระภาคจึงได้ทรงแสดงเรื่องของอกุศลมากทีเดียว เพื่อให้เห็นโทษ ถ้าใครที่ยังไม่เห็นโทษของอกุศล ก็ยังประมาทอยู่เพราะคิดว่า มีกุศลพอแล้ว แต่ถ้าเห็นโทษของอกุศลมากๆ จะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท

~ ความเห็นผิด ต้องทิ้งไป ไม่ต้องไปเยื่อใยอะไรอีกกับสิ่งที่ผิด.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม...ครั้งที่ ๒๑๘

...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 1 พ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
เซจาน้อย
วันที่ 1 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
Boonyavee
วันที่ 1 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
เมตตา
วันที่ 1 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของ อ.คำปั่นด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 1 พ.ย. 2558

~ มานะ หมายความถึง สภาพที่สำคัญตน ก็อาจจะมี อาการ กิริยา ที่อาจจะแสดงออกมาให้เห็น ความหยิ่ง ความทะนงตน

ดีหรือไม่ดี? ไม่ดี

เมื่อไม่ดี ก็ต้องเป็นสิ่งที่ไม่ดี แน่นอน!!!

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะโดยสม่ำเสมอ ของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ครับ
"ทุกคำ" ที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดง และ ได้ถูกนำมาถ่ายทอด เกื้อกูล ด้วยความเมตตาของท่านอาจารย์
เป็นคำที่ทุกบุคคลควรน้อมนำมาใส่ไว้ในหทัย เพื่อขัดเกลากิเลสทั้งหลาย ที่มีในตน หาใช่บุคคลอื่นไม่ บุคคลจะเจริญขึ้นได้ในธรรม ย่อมเป็นผู้ตรง ที่จะเห็นโทษของกิเลสที่มี สะสมมา มากมาย ในตน เมื่อได้รับ "คำเตือน" จากบุคคลใดก็ตาม ผู้มีปัญญา ย่อมเห็นประโยชน์ ที่จะรับเอาคำเตือนนั้น มาประหารกิเลสตน ด้วยความเข้าใจ ด้วยความตรง ละคลายจากมานะ สำคัญตน ว่ามีตน ที่ถูกตำหนิติเตียน
"มานะ" ความสำคัญตน เป็นสภาพที่ทำร้ายบุคคล อย่างน่าสงสารที่สุด
บุคคลที่ถูกหลอกด้วย ตัณหา มานะ และ ทิฏฐิ ดังที่ทรงแสดงไว้ ย่อมน่าสงสารเป็นที่สุด
เราเอง แม้กล่าวอยู่อย่างนี้ ก็ไม่พึงประมาทในคำที่ทรงแสดง ด้วยประการทั้งปวง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนา ในกุศลจิต และความปรารถนาดีทุกประการ นะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
orawan.c
วันที่ 1 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 1 พ.ย. 2558

สาธุ อนุโมทนา และขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
thilda
วันที่ 1 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
tanrat
วันที่ 1 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Guest
วันที่ 2 พ.ย. 2558

น้อมกราบ และขออนุโมทนาในพระสัทธรรมด้วยความเคารพยิ่งครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
siraya
วันที่ 2 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 2 พ.ย. 2558

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คำ ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
jaturong
วันที่ 2 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
j.jim
วันที่ 2 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
pulit
วันที่ 2 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
Noparat
วันที่ 3 พ.ย. 2558

~ ปัญญา เป็นแสงสว่างที่จะชี้หนทางถูกที่จะประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน และสามารถดำเนินไปในทางที่เป็นกุศลทุกๆ เหตุการณ์

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
nong
วันที่ 3 พ.ย. 2558

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
NUWIE26
วันที่ 6 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
peem
วันที่ 7 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 23 ก.พ. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 21  
 
มังกรทอง
วันที่ 12 ต.ค. 2564

กำลังเห็น เลือกไม่ได้เลย ทุกคนอยากจะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ เท่าไหร่ก็ไม่พอ เห็นแล้วก็อยากจะเห็นอีก ทุกวันไป แต่ว่าเลือกไม่ได้ แล้วแต่ว่าจะเห็นสิ่งที่น่าพอใจ หรือไม่น่าพอใจ แม้ว่าทุกคนจะมีจักขุปสาทที่เกิดเพราะกรรมเป็นปัจจัย แต่ว่าสิ่งที่ปรากฏกับจักขุวิญญาณ โดยกระทบกับจักขุปสาทะ แล้วแต่กัมมปัจจัยจะเป็นปัจจัยให้เกิดการเห็นสิ่งที่ดี เป็นผลของกุศลกรรม เห็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นผลของอกุศลกรรม น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
  ความคิดเห็นที่ 22  
 
มังกรทอง
วันที่ 13 ต.ค. 2564

ควรจะเห็นข้าศึกภายใน คือ ความโกรธของตนเอง แทนที่จะคิดว่า ท่านมีศัตรูหลายคน หรือว่าอาจจะมีคนที่ไม่ชอบท่าน ทำสิ่งที่ไม่ดีกับท่านหลายคน แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ข้าศึกที่แท้จริงอยู่ภายใน คือ ความโกรธของท่านเองน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ