อโยนิโสมนสิการ และ อวิชชา
กราบเรียนถามอาจารย์ทุกท่านนะคะ
ดิฉันอ่านเรื่อง อโยนิโสมนสิการ และ อวิชชา จึงมีคำถามมากราบเรียนถามดังนี้ค่ะ
1. อาหารของอวิชชา หนึ่งในนั้นมี อโยนิโสมนสิการ และเคยได้ฟังว่า มนสิการเจตสิก คือ ลักษณะของปัญญาทางโลก ดิฉันจึงขอเรียนถามว่า ขณะที่คิดใคร่ครวญใส่ใจในวิชาการทางโลกต่างๆ ซึ่งไม่ได้เป็นไปเพื่อการละคลายตัวตน จึงเป็น อโยนิโสมนสิการ ขณะนั้น เป็นไปเพื่อพอกพูนอวิชชา ใช่หรือไม่คะ หากเป็นเช่นนั้น แทบจะตลอดเวลาเลยที่ดิฉันให้อาหารแก่อวิชชาเป็นปรกติในชีวิตประจำวัน และสิ่งนี้จะเป็นเหตุให้ โยนิโสมนสิการ และ ปัญญาเจตสิก เกิดยากขึ้นด้วยหรือไม่คะ เพราะเป็นธรรมฝ่ายตรงกันข้ามกัน
2. การขัดเกลากิเลส เริ่มต้นด้วยการฟังธรรมเพื่อละคลายความไม่รู้ว่าไม่ใช่ตัวตนไม่ใช่เรา หรือที่เรียกว่าอวิชชา อวิชชานี้คือตัวต้นเหตุใช่หรือไม่คะ โดยส่วนมากที่เคยสนทนาธรรมกับคนทั่วไป เขาจะไม่เข้าใจเลยว่าการขัดเกลากิเลส ทำไมต้องฟังธรรม มองว่าไม่จำเป็นด้วยซ้ำ ส่วนมากจะเข้าใจว่าต้องไปนั่งหลับตาเฉยๆ หรือเดินจงกรมในวัดบ้างในป่าบ้าง เพราะไม่รู้สาเหตุว่าฟังธรรมแล้วจะไปทำให้กิเลสลดลงได้ยังไง หากอวิชชา หรือความไม่รู้ว่าไม่ใช่ตัวตน คือ ต้นเหตุ ก็มีแต่การฟังพระธรรมให้เข้าใจในความไม่ใช่ตัวตนเท่านั้น ที่จะเป็นเหตุให้เกิดการขัดเกลากิเลสใช่หรือไม่คะ นี่คือเหตุที่ต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจว่าไม่ใช่เราไม่ใช่ตัวตน ใช่หรือไม่คะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
- เพราะใส่ใจไม่ถูกต้องไม่แยบคาย ก็เป็นเหตุให้อกุศลเกิดขึ้น และในขณะที่อกุศลเกิดขึ้นนั้น ไม่ปราศจากความไม่รู้เลย เพราะอวิชชาหรือความไม่รู้ นั้น เกิดร่วมกับอกุศลจิตทุกประเภท, ตามความเป็นจริงแล้ว มนสิการะ เป็นเจตสิกธรรมประเภทหนึ่งที่ใส่ใจในอารมณ์ เกิดกับจิตทุกขณะ ไม่ใช่ปัญญาเจตสิก ดังนั้น ในขณะที่กำลังสนใจใส่ใจในศาสตร์วิชาการทางโลกต่างๆ นั้น ก็จะต้องมีความติดข้องต้องการที่จะเรียนรู้มีความใส่ใจในศาสตร์สาขาวิชาทางโลกนั้นๆ ตามความสนใจ เป็นอกุศล ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงนี้ได้ และสะสมอวิชชา และ อกุศล ต่อไปในขณะที่อกุศลเกิดขึ้น ขณะที่อกุศลเกิดขึ้น ไม่สามารถเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริงได้เลย ชีวิตประจำวัน จึงยากที่จะพ้นไปจากอกุศล (ตามที่ท่านผู้ถามได้ตั้งเป็นประเด็นไว้) มีอกุศลเกิดขึ้นเป็นไปมาก เพราะถ้าจิตไม่ได้เป็นไปในทาน ไม่ได้เป็นไปในศีล ไม่ได้เป็นไปในความสงบของจิต ไม่ได้เป็นไปในการอบรมเจริญปัญญาแล้ว ก็เป็นอกุศลโดยตลอด เพราะฉะนั้นแล้ว หนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ที่จะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริง ขัดเกลาละคลายความไม่รู้ และอกุศลธรรมทั้งหลายได้ในที่สุด ซึ่งจะขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย
-ถ้าไม่ตั้งต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็ไม่สามารถขัดเกลาละคลายความไม่รู้ได้เลย เพราะรู้ว่าไม่รู้ซึ่งได้สะสมมานานแสนนาน จึงมีการฟัง มีการศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูก ก็ขัดเกลาละคลายความไม่รู้ไปตามลำดับ ถ้าไปทำอย่างอื่น เช่น เดินจงกรม นั่งสมาธิ หรือทำอะไรที่ผิดๆ อื่นๆ ไม่มีทางที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้เลย จึงต้องฟังพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ ไม่ประมาทในพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นสิ่งที่ยากแสนยากกว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้ และเมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้แล้วก็มีพระมหากรุณาที่จะเกื้อกูลหมู่สัตว์ให้พ้นจากความไม่รู้และกิเลสทั้งหลาย จึงทรงแสดงธรรมประกาศความจริง โดยละเอียดโดยประการทั้งปวง ซึ่งแต่ละคำๆ นั้น มีค่ามาก เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด จุดประสงค์ของการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ก็เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ขัดเกลาละคลายความไม่รู้ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์เป็นบุคคล เพราะขณะที่เริ่มเข้าใจแม้ในขั้นการฟัง ก็ไตร่ตรองพิจารณาตามได้ว่า ทุกขณะ มีแต่ธรรมเท่านั้น เห็น เป็นเห็น เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ที่เห็น อกุศลแต่ละประเภทที่เกิดขึ้นก็เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นต้น ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพราะเมื่อไม่ขาดการฟัง ความเข้าใจที่ได้สะสมไปทีละเล็กทีละน้อย ก็จะเพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นแต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง เป็นธรรมดาที่ผู้ไม่ได้ฟังพระธรรม ก็จะไม่เข้าใจถูกในธรรม ก็จะมีความคิดความเห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เมื่อเข้าใจอย่างนี้ก็จะเบาสบาย ไม่เดือดร้อนกับอกุศลของคนอื่น แล้วมีความจริงใจที่จะฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจยิ่งขึ้น ต่อไป มีพระธรรม เป็นที่พึ่ง ครับ
....ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...