มรณภาพแล้วร่างกายไม่เน่าเปื่อยและเป็นแก้วใส
"อีกอย่างท่านมรณะภาพแล้วร่างกายก็ไม่เน่าเปื่อยมีพระธาตุมาเกาะ แม้สมัยท่านยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมหรือชานหมากของท่าน ล้วนกลายสภาพเป็นพระธาตุ มีลักษณะเป็นแก้วใส สวยเหมือนอัญมณีจนหมด ไม่รู้ว่าจะต้องมีคุณธรรมถึงระดับใด จึงจะเป็นได้แบบนี้ ทุกวันนี้ผมกราบท่านอย่างสนิทใจครับ"
จากข้อความด้านบนคัดมาจากความคิดเห็นของท่านผู้หนึ่ง ที่เชื่อว่าพระที่มรณภาพท่านนี้เป็นผู้มีคุณธรรมสูงจึงมีอัฐิธาตุเป็นแก้วใส และร่างกายไม่เน่าไม่เปื่อย
คำถามของดิฉันคือ สงสัยว่า ร่างกายที่ไม่เน่าไม่เปื่อยและมีบางส่วนกลายเป็นแก้วใส มีวรรณะสีต่างๆ บ่งบอกถึงคุณธรรมของผู้นั้นหรือเปล่า และเหตุปัจจัยใดถึงทำให้มีร่างเช่นนั้นหลังมรณะแล้วค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ
ในพระไตรปิฎกกล่าวถึง คุณธรรมต่างๆ ของผู้อื่นต้องอาศัยการสังเกต และผู้นั้นต้องมีปัญญาจึงจะรู้ได้ เช่น ศีลจะพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน ต้องสังเกตนานๆ และผู้ที่รู้จักศีลเท่านั้นจึงจะรู้ได้ว่าใครมีศีลตรงกับพระธรรมวินัย ปัญญาจะพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ถ้าไม่สนทนาสอบถามย่อมรู้ไม่ได้ว่าผู้นั้นมีปัญญาเข้าใจตรงตามพระธรรมวินัย หรือไม่ และคนมีปัญญาเท่านั้นจึงจะรู้ได้ ดูเพียงภายนอกรู้ไม่ได้
อีกอย่างหนึ่ง ร่างกายของพระอรหันต์เป็นสังขารธรรมมีการแตกดับเน่าเปื่อยเป็นธรรมดา เว้นไว้แต่แรง อธิษฐานของท่านผู้มีอภิญญาจิตในสมัยครั้งพุทธกาล ในสมัยปัจจุบันนี้มีการใช้สารเคมีต่างๆ ทำให้ร่างกายไม่เน่าหรือเมื่อนำไปเผามีสีต่างๆ ได้ แต่ไม่ใช่ข้อที่บ่งบอกถึง คุณธรรมของผู้ตาย ที่สำคัญคือ อยู่ที่ข้อปฏิบัติที่จะทำให้มีคุณธรรมขั้นอริยบุคคล ถ้าหากข้อปฏิบัติไม่ถูกขัดแย้งกับพระธรรมวินัย คุณธรรมเหล่านั้นจะมีไม่ได้
เชิญคลิกอ่านที่นี่
เรื่อง รู้ว่าใครเป็นพระอรหันต์ด้วยปัญญาไม่ใช่อย่างอื่น (ชฎิลสูตร)
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ที่เป็นข้อสังเกตที่ต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า ในพระไตรปิฎก ไม่เคยกล่าวถึงพระธาตุอันเกิดมาจากกระดูกที่ถูกเผา หรือการที่ร่างกายไม่เน่าเปื่อย เลยนะครับ ผมเคยดูสารคดีประเภทเรื่องจริงผ่านจอหรือท้าพิสูจน์เมื่อหลายปีก่อน เรื่องเกี่ยวกับศพที่ไม่เน่าเปื่อยครับ ทางรายการไปขอความเห็นจากแพทย์ ท่านให้ ความเห็นอย่างนี้ครับ
การที่ศพบางศพแห้งไปโดยไม่เน่าเปื่อยอาจมาจากสองสามสาเหตุ
๑. ถ้าเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติสมาธิแล้วอาหารมื้อสุดท้ายก่อนมรณภาพนั้นฉันไปนาน แล้ว อาจนานกว่า ๑๒ ชั่วโมง ผมจำเวลาไม่ถนัดนักนะครับ เอาเป็นว่าถ้ากินมื้อสุด ท้ายนานแล้ว อาหารจะไม่เหลือที่กระเพาะอาหาร การเน่าเปื่อยจะน้อยหรือไม่เกิดขึ้นเพราะไม่มีอะไรให้เน่า อาหารผ่านขั้นตอนการย่อยไปแล้ว ไม่มีเชื้อจุลินทรีย์ที่จะทำให้เกิดการเน่าแบบนั้นได้ แต่จุลินทรีย์ในลำใส้ใหญ่มีอยู่ก็ทำงานไปจนสิ้นสุดและ ตายไปเองในที่สุด
๒. ร่างกายมนุษย์มีสารอินทรีย์ที่ร่างกายผลิตขึ้นมาป้องกันเชื้อโรคต่างๆ อยู่แล้ว คือ โดยธรรมชาติก็ไม่ได้เน่าเปื่อยง่ายๆ อยู่แล้ว
๓. หากมีการฉีดยากันเน่าประเภทฟอร์มารินยิ่งจะไม่เน่าใหญ่เลยครับ ผมเคยได้ยินว่า ในสมัยโบราณศพคนใหญ่โตเขาจะกรอกด้วยปรอทที่ปากศพ นั้นไม่เพียงแต่ไม่เน่านะ ครับ แถมเผาไม่ค่อยจะไหม้อีกต่างหาก ถ้าจนหน่อยเขากรอกด้วยน้ำมันก๊าดครับ ศพไม่เน่าครับ แต่ติดไฟดีนักแล อย่างไรก็ตามสิ่งที่เราไม่รู้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีอยู่จริงเสมอไปนะครับ ถ้าปาฏิหารย์ที่เกิด ขึ้นทำให้เกิดศรัทธาที่จะนำไปสู่การศึกษา อันจะทำให้เกิดความเข้าใจและปฏิบัติที่ดี แล้วเกิดปัญญาในภายหลัง ผมว่ามันก็ไม่น่าเสียหายอะไรนะครับ เพียงแต่ว่าอย่าไป หลงตื่น อย่าไปงมงายกับสิ่งที่ไม่ได้ชักนำให้เกิดปัญญา คือศรัทธาก็ต้องเอาปัญญา ที่ใช้ความคิดอย่างแยบคายเข้าไปประกบคู่ไว้ด้วยครับ จึงจะไม่หลงทาง
เคยมี ชาวต่างประเทศท่านหนึ่งมาที่ประเทศไทย เพื่อจะถ่ายรูปพระอริยบุคคล ไม่ทราบว่า ขณะนี้ได้ถ่ายรูปพระอริยะ ไปได้หรือยัง หวังว่า คงไม่ไปถ่ายซากศพที่ไม่ เน่าเปื่อย แทนนะครับ
เป็นธรรมดาของสัตว์โลก ที่จะถือเอาส่วนอื่น เป็นประมาณว่า บุคคลนี้เป็นพระอรหันต์ไม่ได้คำนึงถึงข้อปฏิบัติและธัมมะ มาพิจารณาว่า เป็นพระอรหันต์หรือไม่ ถ้าไม่เข้าใจหนทาง เราก็จะไม่รู้เลยว่าใครเป็นพระอรหันต์ หรือแม้ใครเป็นสัตบุรุษครับ ดังนั้น ที่ถูกควรเอาธรรมเป็นประมาณในการตัดสินครับ ขอแสดงข้อความที่ธรรมดาสัตว์โลกถืออะไรเป็นประมาณครับ
[เล่มที่ 79] พระอภิธรรมปิฎก ธาตุกถา-บุคคลบัญญัติ เล่ม ๓ - หน้าที่ 378
ก็สัตว์โลกทั้งหมดแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน ที่ถือรูปเป็นประมาณมี ๒ ส่วน ที่ไม่ถือมี ๑ ส่วน. สัตว์โลกทั้งหมดแบ่งออกเป็น ๕ ส่วน ที่ถือเสียง เป็นประมาณมี ๔ ส่วน ที่ไม่ถือมี ๑ ส่วน. สัตวโลกทั้งหมดแบ่งออกเป็น ๑๐ ส่วน ที่ถือความเศร้าหมองเป็นประมาณมี ๙ ส่วน ที่ไม่ถือมี ๑ ส่วน สัตว์โลกทั้งหมดแบ่งออกเป็นแสนส่วน ส่วนเดียวเท่านั้น ถือธรรมเป็นประมาณ ส่วนที่เหลือไม่ถือธรรมเป็นประมาณ โลกสันนิวาสนี้ถือประมาณ ๔ อย่าง อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้.
ขออนุโมทนาค่ะ กราบขอบพระคุณมากที่ช่วยทำให้เข้าใจโดยถ้วนหน้าค่ะ
เราไม่สามารถรู้ว่า ใครบรรลุเป็นพระโสดาบันจนถึงเป็นพระอรหันต์ พระโสดาบัน จะรู้ว่าใครเป็นพระโสดาบัน คนนั้นก็ต้องเป็นพระโสดาบันด้วย และพระโสดาบัน ไม่สามารถรู้ว่าคนนี้เป็นพระอรหันต์ เพราะคุณธรรมของท่านสูงกว่า เพราะฉะนั้น เราศึกษาธรรมะเพื่อพ้นทุกข์ในวันหนึ่งดีกว่าเพราะชีวิตนี้ไม่แน่นอนแต่ความตายแน่นอนค่ะ
อนุโมทนาผู้ให้ความคิดเห็นแต่ละท่านเป็นประโยชน์ทำให้ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น
เรื่องการที่อัฏฐิธาตุของพระอริยบุคคล กลายเป็นวัตถุมีสีต่างๆ บ้าง มีลักษณะที่ใสบ้าง ซึ่งต่างจากบุคคลทั่วไปทางวิทยาศาสตร์จะอธิบายอย่างไรครับ