ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกาและอินเดีย ๑๖ - ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๒ โปลอนนารูวา]
วันที่ ๑๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ เป็นวันแรกที่คณะทั้งหมด (๓ กลุ่ม) ได้พบกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาเป็นครั้งแรก หลังจากรับประทานอาหารเช้าร่วมกันแล้ว ก็จะได้ร่วมกันเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ พร้อมๆ กัน ทั้งหมด โดยจะออกเดินทางจากโรงแรม Gateway Airport Garden กรุงโคลอมโบ ไปยังเมือง Habarana ในเวลาราว ๘.๐๐ น.
(ภาพบรรยากาศช่วงเวลารับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม Gateway Airport Garden)
แวะพักรับประทานอาหารกลางวันที่โรงแรม Cinnamon Lodge เมือง Habarana หลังรับประทานอาหารเสร็จ จึงเดินทางต่อไปชมเมือง โปลอนนารูวา อดีตเมืองหลวงของประเทศศรีลังกาในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗ (ยุคก่อนสมัยสุโขทัยและเป็นเมืองต้นแบบของอาณาจักรสุโขทัย ซึ่งจะมีสถาปัตยกรรมการก่อสร้างศาสนสถาน ที่งดงามไปด้วยพุทธศิลป์ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของศรีลังกา อาทิเช่น พระพุทธรูปหินแกะสลัก ปางสมาธิ ปางประทับยืน และ ปางพุทธไสยาสน์ บนหน้าผา ที่กัลวิหาร หลังจากนั้น จึงเดินทางเข้าสู่ที่พัก และ รับประทานอาหารค่ำ ที่ Aliya Resort ซึ่งขณะที่เดินทางถึง เป็นเวลาค่ำและมีฝนตกปรอยๆ
(ท่านอาจารย์เมตตาเดินทักทายสหายธรรมทั้งผู้ใหม่และผู้เก่า ภายในห้องรับประทานอาหารเช้า ที่ Gateway ก่อนออกเดินทาง)
เมื่อได้กุญแจห้องพักแล้วจึงรีบทำธุระส่วนตัวแล้วไปรับประทานอาหารมื้อค่ำ ซึ่งเป็นมื้ออาหารที่อร่อยและดูหรูหรามื้อหนึ่งทีเดียวครับ มีอาหารให้เลือกหลากหลาย ที่จำได้ก็มีเป็ดรมควันที่อร่อยมากๆ กับพิซซ่าหนานุ่ม ที่ช่วยให้มื้อค่ำนี้ วิเศษสุด ในความเห็นของข้าพเจ้า เนื่องจากโดยส่วนตัว ไม่ค่อยพิสมัยในรสและกลิ่นของอาหารแขกสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นโรตีแขก ที่เรียกว่า นาน และ จาปาตี แล้วละก็ ชอบมากที่สุด แต่ว่าชอบรับประทานเปล่าๆ นะครับ ไม่ราดแกงแขกเด็ดขาด
พูดถึงเรื่องอาหาร ข้าพเจ้าต้องกราบอนุโมทนาพี่แอ้น (วิภาดา กัลยาณมิตร ภริยาท่านพลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร) ที่มีกุศลศรัทธาอย่างยิ่ง นำน้ำพริกกะปิ น้ำพริกปลาดุกฟู ปลาสลิดทอดกรอบ ข้าวเหนียวนึ่ง กล้วยเชื่อม คุกกี้ และอื่นๆ บรรจุถุงย่อยๆ สำหรับรับประทานหลายมื้อ ใส่กล่องอย่างดี ให้คนนำมาส่งให้อาจารย์อรรณพและข้าพเจ้าที่สนามบิน ให้ช่วยนำมาฝากท่านอาจารย์และคุณป้าจี๊ด ได้รับประทานสลับกับอาหารอื่นๆ โดยมีพี่แก้วตา อเนกพุฒิ และ พี่สุกัญญา เพื่อนชอบ คอยดูแลจัดการนำขึ้นโต๊ะให้ท่านอาจารย์และคุณป้าจี๊ด และยังมีคุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) อีกท่านหนึ่ง ที่คอยรับหน้าที่ปรุงน้ำพริกกะปิ ที่พี่แอ้นเตรียมมาให้ ด้วยการเติมน้ำมะนาวและพริก ก่อนนำขึ้นโต๊ะท่านอาจารย์ นอกจากนั้น คุณแอ๊วยังนำน้ำพริกมะขามที่คุณยายตำมาให้สองถุงใหญ่ มาฝากพวกเราให้ได้เอร็ดอร่อยกันอีกหลายมื้อ ไม่รวมถึงขนมอร่อยนานาชนิด ที่คุณแอ๊วนำมาแจกบนรถระหว่างเดินทางถึงหนึ่งกระเป๋าเลยทีเดียว กราบอนุโมทนาทุกท่านอย่างยิ่งครับ
นอกจากนั้น ก็ยังมีคุณตู่ (คุณขจีรัตน์ แก้วทานัง) ที่นำมะม่วงแผ่นและขนมต่างๆ มาจากร้านที่หัวหิน มีคุณหมอเหน่ง นำมะขามหวานและขนมอื่นๆ มา มะขามอร่อยมากครับ ห่อแยกเป็นฝักๆ ดูเลิศมากครับ อีกท่านหนึ่งก็คือพี่ติ๋ว พรรณิภา วิมุกตานนท์ กับน้องดิว ลูกสาวคนเก่ง นำน้ำมันลองกานอยด์ ที่สกัดจากเมล็ดลำไย ที่พี่ติ๋วผลิตเองและกำลังโด่งดังในด้านสรรพคุณทาบรรเทาอาการปวดขา ปวดเข่า ดมก็ได้ ทาก็ดีจริงๆ ครับ แล้วก็ยังมียาดมโบราณ ที่หอมมาก อยากบอกพี่ติ๋วว่า ยังไม่เคยเจอยาดมโบราณแบบนี้ที่มีกลิ่นหอมเท่านี้ หอมแบบคุณภาพคับขวด อะไรปานนั้นเลยนะครับ
อันดับต่อไป ขออนุญาตทุกท่านเช่นเคยที่จะนำความการสนทนาธรรม ซึ่งเป็นการสนทนาในช่วงเช้า ณ โรงแรม Aliya Resort เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๘ เป็นตอนที่ต่อเนื่องจากครั้งที่แล้ว มาฝากทุกๆ ท่านพิจารณาไปพร้อมๆ กับภาพที่ได้บันทึกมาในวันนี้ ตามรายการเดินทางที่ได้กราบเรียนทุกท่านข้างต้น นะครับ
อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ ท่านอาจารย์ครับ ทุกคนก็อยากจะทำอะไร ตามความพอใจ แล้วเราก็คิดว่า เรานี่ "เลือก" สิ่งต่างๆ ได้ แล้วเวลาที่เลือกไม่ได้ เราก็รู้สึก ไม่พอใจ เพราะฉะนั้น ในความที่จะเลือกได้ หรือ เลือกไม่ได้ ในทางธรรมะจริงๆ เป็นอย่างไรครับ การที่คิดว่าเลือกนี่ครับท่านอาจารย์ ที่คิดว่าจะเลือกโน่นเลือกนี่ ได้บ้างไม่ได้บ้าง
ท่านอาจารย์ ถ้าจะเข้าใจธรรมะ ต้องเข้าใจสิ่งที่กำลังมี เพราะเหตุว่า ความจริงเป็นอย่างสิ่งที่กำลังเป็นในขณะนี้ ไม่ใช่ว่าเราต้องไปคิดถึงพรุ่งนี้ ปีหน้า
เลือกเห็น ได้ไหม? แค่นี้ ไม่ได้แล้วใช่ไหม?
อ.อรรณพ ผมไม่ได้คัดค้านนะครับ แต่ถ้าคนที่เขามีแต่ความเป็นตัวตน เขาบอกว่า เขาอยากจะเห็นคุณวิชัย ผมก็หันไปดู ก็เห็น เขาก็นึกว่าเขาเลือกได้ ที่จะเห็นท่านอาจารย์ หรือ เห็นคนโน้น เห็นคนนี้ ท่านอาจารย์จะให้ละเอียด ชัดเจน ว่าเลือกไม่ได้ "แม้เห็น" อย่างไรครับ?
ท่านอาจารย์ จะเลือกเห็นคุณวิชัย คุณวิชัยอยู่ไหน?
อ.อรรณพ ก็เขาก็จำว่า คนนี้
ท่านอาจารย์ ในห้องนี้ใช่ไหม? เดี๋ยวนี้ไม่ต้องเลือก เห็นแล้ว!!! จะเลือกทำไม? ก็อยู่ตรงนี้!!! เห็นแล้ว!!!
อ.อรรณพ แต่ความคิดของคน...
ท่านอาจารย์ ก่อนมาในห้องนี้ เลือกเห็นหรือเปล่า?
อ.อรรณพ ก็ไม่ได้คิด ก็เห็นๆ ไป
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็เห็นแล้วไงคะ ขอโทษนะคะ เลือกไม่เห็นได้ไหม? คุณวิชัยนั่งอยู่ตรงนี้ เลือกไม่เห็นคุณวิชัยได้ไหม?
คุณฟองจันทร์ หันไปทางอื่นค่ะ
อ.อรรณพ พูดถึงตามความเป็นจริง ตามสภาพธรรมะ ตามความเป็นจริง ก็เกิดตามเหตุตามปัจจัย จะเห็นสิ่งใด ก็เป็นอย่างนั้น ในการที่ยังไม่ได้เข้าใจความจริง เต็มไปด้วยความเป็นตัวตน เขาก็บอก เขาเลือกไม่เห็น เขาบอกไม่อยากมองคนนี้ เขาก็ไม่หันไปมอง เช่นไม่อยากเห็นคุณวิชัย ผมก็ไม่หันไปมอง เขาก็จะคิดอย่างนี้ด้วยความมั่นคง ว่าเป็นคนที่ เป็นเราที่เลือกได้ เราจะมองคนโน้น ไม่มองคนนี้
ท่านอาจารย์ ทุกคนออกจากห้องหมด เหลือคุณวิชัยกับเขา เลือกไม่เห็นคุณวิชัยได้ไหม?
อ.อรรณพ ก็ต้องเห็น
ท่านอาจารย์ ก็ต้องเห็น!!!
คุณฟองจันทร์ แล้วสถานการณ์แบบนี้ที่เขาให้เราเลือกว่าจะไปทริป ไปข้างนอกไปดูสถาปัตยกรรมอะไรต่ออะไรต่างๆ กับ มาฟัง มาสนทนาธรรมที่นี่ แล้วหนูกับคุณโยร่า เลือกที่จะมานั่งสนทนาธรรมตรงนี้กับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ แค่ เลือกมาศรีลังกา ก็คิดว่า "เรา" เหมือนกับ "กำลังเห็น" ก็คิดว่า "เรา" กำลังได้ยิน ก็คิดว่าเรา
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมะ เกิดดับ ตามเหตุตามปัจจัย แต่เข้าใจว่าเป็นเราหมด เราคิดว่า เอ..จะสระผมดี หรือ ไม่สระผมดี? สระก็แล้วกัน ไม่สระก็แล้วกัน ขณะนั้น ใคร??? นอกจาก "คิด" ความคิด ไม่ว่าจะคิดอย่างไร ก็คือว่า เป็นปัจจัยให้คิดเดี๋ยวนั้น ขณะนั้น เกิดขึ้น หนึ่งขณะ ขณะต่อไปก็มีสิ่งที่ทำให้คิดอย่างอื่นเกิดขึ้นต่อไปอีกหนึ่งขณะ
ที่เคยเข้าใจว่าเป็นเรา ไม่มีทางหมดสิ้น ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมและเข้าใจจริงๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ เพราะว่า จากการที่เป็นปุถุชน คนที่ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่มี ตามความเป็นจริง "เป็นเรา" ไปหมดเลย จนกว่า เดี๋ยวนี้เห็นอะไร ก็ยังไม่รู้เลย!! แต่พอได้ฟังพระธรรม เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ หลับตาสิคะ ยังเห็นเหมือนที่ยังไม่หลับตาไหม? ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น เพียงแค่หลับตา ก็ไม่รู้แล้ว ว่าแท้ที่จริง ไม่ได้เห็นใครเลย เห็นแต่เพียง สิ่งที่มีจริงๆ ที่สามารถกระทบตา เป็นปัจจัยให้ธาตุหนึ่ง เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป นี่คือ ความลึกซึ้งของพระธรรม
คุณฟองจันทร์ เพราะฉะนั้น หมายถึง ถ้าเรายังเข้าใจว่าเราเลือกได้ ที่จะมาฟังธรรมแทนที่จะไปเที่ยว ก็หมายความว่า การฟังของเรายังไม่มั่นคงพอ ที่จะเข้าใจว่า ธรรมะเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เป็นเพียงแค่ขั้นการฟัง ว่าเราเข้าใจว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย หรือ ตามการสะสมที่จะมาฟังธรรมะตรงนี้ หรือจะไปทางโน้น ใช่ไหมคะท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ค่ะ แม้แต่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้ว่า "คิด" ถ้าไม่คิด จะพูดได้ไหม? เห็นไหม? คิด ทีละคำด้วย คิด หลายๆ คำ ได้ไหม? และคิด ถ้าไม่สะสมมาที่จะคิดอย่างนี้ จะคิดอย่างนี้ไหม? แต่ละคน คิดไม่เหมือนกัน เพราะอะไร? จะขอยืมความคิดของคนอื่น มาเป็นของเรา ก็ไม่ได้ ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น เกิดมาในโลกนี้ ก็แค่เพียง "เห็น" แล้วก็ "ได้ยิน" แล้วก็ "ได้กลิ่น" แล้วก็ "ลิ้มรส" แล้วก็ "รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส" แล้วก็ "คิดนึก" ตลอดเลย ถ้าเว้นจากเห็นเมื่อไหร่ ก็คือ "คิด" เว้นจากได้ยินเมื่อไหร่ ก็คือ "คิด" เว้นจากได้กลิ่นเมื่อไหร่ ก็คือ "คิด" เพราะฉะนั้น คิดทั้งวัน แต่ก็เข้าใจว่าเป็น "เราคิด"
คุณฟองจันทร์ ใช่ค่ะ แสดงว่า การฟังของหนูก็ยังไม่ละเอียดพอที่จะรู้ว่า ลืมว่า ขณะนั้นมีความคิดเกิดขึ้นมากมาย อย่างเมื่อวานนี้ ก็คือ หนูตัดสินใจไม่ถูกว่าหนูอยากฟังธรรมมากที่สุด ทีนี้ก็คิดถึงคุณโยร่า เขายังไม่เคยมาศรีลังกาก็อยากให้เขาได้เที่ยว ทีนี้เขาไม่ไปถ้าไม่มีหนู คือหนูไปไหน เขาก็จะไปที่นั่น และ เมื่อเช้านี้ เธอก็บอกว่า ถ้าเธออยากฟังธรรมฉันก็อยากฟังธรรมกับเธอ ถ้าเธอจะไปที่นั่น ฉันก็จะไปกับเธอ หนูโล่งอกมากเลยค่ะ เพราะฉะนั้น ขณะนั้นที่คิด ก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากมาย มีทั้งอกุศลกลุ้มรุมว่าจะไปหรือไม่ไป ไม่ถึงกับกลุ้มรุมมาก แต่ก็ยัง คือ ตัดสินใจไม่ได้ เป็นห่วงเพื่อนด้วยว่า อยากจะให้เพื่อนได้เห็น เพราะว่า เขาอยากมามาก ทีนี้พอเขาพูดตรงนี้มาก็ดีใจมาก ที่จะได้ฟังธรรมะ แล้วเขาเองเขาก็บอกว่าเขาก็อยากฟังธรรมะจากท่านอาจารย์ด้วย
ท่านอาจารย์ ค่ะ นี่ก็คือธรรมะทั้งหมดเลย แต่ก็ลืม เป็นเรา เป็นคุณโยร่า เป็นใครหมด แต่ถ้าไม่มีการเห็น จะคิดไหม? ถ้าไม่มีการได้ยิน จะคิดไหม? ก็ไม่มี!!! แต่พอเห็นแล้ว ต้องคิดตามสิ่งที่ปรากฏให้เห็น
อ.อรรณพ ครับ จริงๆ ที่คิดไปเองว่าเลือกได้ แต่ว่า คิดไปเองว่าเลือกได้ เพราะความไม่รู้ จริงๆ แล้วก็คิดว่าเลือกโน่นได้ เลือกนี่ได้ แต่จริงๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างว่า ถ้าห้องนี้ ไม่มีใครให้เห็น ก็ต้องเห็นคนนี้ ก็เลือกไม่ได้ เพราะว่า ก็เห็นแล้ว เป็นไปแล้ว เพราะฉะนั้น ความไม่รู้มาก และ ความเป็นตัวตน ที่คิดว่า เราจะทำโน่นได้ ทำนี่ได้ แต่เวลาที่ไม่ได้ ไม่ได้อย่างที่คิด ตอนที่ได้อย่างที่คิด เราก็คิดว่าเราเลือกได้ เช่น หันไปมองพี่แดง เขาก็นึกว่าเราเลือกได้ หันไปมองคุณทิพย์ คุณสัมพันธ์ เราก็นึกว่าเราเลือกได้ อันนั้นคือ มีเหตุปัจจัยให้เป็นอย่างนั้น
แต่ตอนที่ ต้องไปเห็นกองขยะ ต้องไปเห็นภาพที่ไม่สวยงาม มีใครอยากจะเลือกเห็นภาพอย่างนั้นบ้าง? แต่ก็มีเหตุปัจจัยให้เห็นภาพอย่างนั้น พอไม่ได้อย่างที่โลภะอยากได้ ฉันทะอยากเลือก เขาก็เลยไม่พอใจ ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ฟังธรรมะละเอียด เขาก็คิดว่าเขาเลือกได้ อยากจะรับประทานอะไรก็เอาเงินไปซื้อ
ท่านอาจารย์ ค่ะ เลือกเกิดได้ไหม?
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์เริ่มตั้งแต่ขณะแรกเลย ปฏิสนธิจิต ก็เกิดจากกรรม แล้วก็เลือกไม่ได้ด้วย ว่ากรรมใด จะให้ผลอย่างไร
ท่านอาจารย์ คุณอรรณพ ชาติหน้าจะเป็นใคร? เลือกได้ไหม?
อ.อรรณพ กรรมเลือกให้ครับ ท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เลือกไม่ได้ ก็ต้องเลือกไม่ได้ เลือกเกิดไม่ได้ เลือกพ่อแม่พี่น้องไม่ได้ เลือกทรัพย์สมบัติไม่ได้ เลือกอะไรก็ไม่ได้ เลือกเห็นก็ไม่ได้ เลือกคิดก็ไม่ได้ จนกว่าจะมั่นใจจริงๆ ว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรมะ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่ง เมื่อมีปัจจัยก็เกิดขึ้น เพราะความไม่รู้ มากแค่ไหน? ลองคิดดู!!!
ตราบใดที่ยังเป็นเราอย่างนั้น เราอย่างนี้ ก็คือว่า นั่นคือ ความไม่เข้าใจว่า เป็นธรรมะ
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ อันนี้ก็ยิ่งเห็นชัดว่า ความเป็นเรา เกิดเพราะความไม่รู้ พร้อมกันไปเลย ที่ทำให้คิดว่าเลือกได้ ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่แล้วว่า เกิดก็เลือกไม่ได้ ท่านอาจารย์ก็บอกว่า เห็นก็เลือกไม่ได้ จะหลับก็เลือกไม่ได้ อย่างนั่งๆ อยู่นี่ บางทีก็เคลิ้มหลับไป นี่ก็เลือกไม่ได้ แล้วสุดท้าย วันก่อนเพิ่งฟังท่านอาจารย์บรรยายไว้ในปีนี้ว่า แม้แต่ตาย ก็ยังเลือกไม่ได้ ว่าจะตายที่ไหน ตายอย่างไร ทุกคนก็อยากตายแบบสบายๆ
ท่านอาจารย์ ค่ะ มั่นใจหรือยังว่า เลือกไม่ได้สักขณะเดียว!!! แต่ คิดว่าเลือกได้!! แต่ความจริง "ขณะที่คิด" เลือกคิดอย่างนั้น ก็ไม่ได้!!! ทุกอย่าง เกิดแล้วทั้งนั้นเลย แต่ไม่รู้ ก็ไปคิดจะทำให้สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เกิด แต่ก็หารู้ไม่ว่า ใครก็ทำไม่ได้!!!
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ทุกๆ เรื่อง ดูว่าจะเป็นเรื่องธรรมดา แต่พอสนทนาที่เป็นความเข้าใจตามพระธรรมจริงๆ ก็ดูเป็นเรื่องลึกซึ้งไปเสียหมดทุกเรื่อง แม้กระทั่ง เลือกได้ไหม จะเห็น ได้ยิน ฯลฯ จะคิดถึงคนโน้น คนนี้ ก็เป็นไปตามปัจจัย ธรรมะที่เป็นอนัตตา ทุกอย่าง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น การเข้าใจพระธรรม มีค่าแค่ไหน? ที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ได้ยิน ได้ฟัง แล้วรู้ว่า สิ่งที่ประเสริฐที่สุด ติดตามไปได้ ก็คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ไม่อย่างนั้นก็หอบกิเลสกันไป!!!
เพราะว่า เราคิดว่า มีคนที่เรารักที่สุดในชาตินี้ มีทรัพย์สมบัติอะไรก็ตามแต่ ที่เรารักที่สุดในชาตินี้ เหมือนเป็นของเรา แต่ความจริง เป็นเพียงแค่ สิ่งที่เกิดดับ ซึ่งทำให้เราเข้าใจผิดว่า เป็นของเรา เพราะว่า จริงๆ แล้ว เมื่อจิตขณะสุดท้ายดับ ร่างกายนี้ก็ไม่เป็นของเรา ไม่ต้องอื่นไกลไปถึงทรัพย์สมบัติ แค่ร่างกายนี้ก็ไม่เป็นของเราแล้ว เคลื่อนไหวไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้
แล้วทำไมจะต้องไปคิดตอนนั้น ตอนนี้ ก็ไม่ใช่ของเรา ใช่ไหม? แต่เพราะมี "จิต" ก็ทำให้การเคลื่อนไหวอะไรๆ ไป เหมือนกับว่า เราทำได้ เราเลือกได้ แต่ว่า ตามความเป็นจริง ก็ต้องเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีอะไรเลย นอกจากธรรมะ สิ่งที่มีจริง ซึ่งเราคิดไม่ถึงเลย เพราะยังไม่ได้ฟังโดยละเอียดว่า เมื่อไม่มีเรา แล้วมีอะไร? เราก็ได้เพียงแค่ มีตา มีหู มีจมูก แต่...เป็นอะไร??? ก็ต้องศึกษา ฟังต่อไปอีก จนกว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะเหตุว่า เราฟังนิดๆ หน่อยๆ เราไม่เห็นพระปัญญาคุณ แต่ยิ่งฟังมาก เข้าใจมาก ยิ่งเห็นความห่างไกลของพระปัญญาคุณ ที่บำเพ็ญจนได้ตรัสรู้ แล้วเราเพิ่งจะได้ฟัง ต้องห่างไกลกันมาก!!!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบคุณและขออนุโมทนาพี่วันชัยครับ ทั้งธรรมและภาพหลากหลาย ครอบคลุมบรรยากาศและภาพของสหายธรรมทุกๆ ท่าน ครบถ้วนได้ดีมาก ครับ นำมาซึ่งการระลึกถึงได้เป็นอย่างดี ณ กาลครั้งหนึ่ง ครับ
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณทุกๆ ท่านที่ร่วมสนทนาธรรม
อนุโมทนาขอบพระคุณค่ะคุณวันชัย ภู่งาม
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณณภัทร เรืองจันทฤทธิ์ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกาและอินเดีย ๑๖ - ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๔ พระมหาเจดีย์รุวันเวลิสยะ]
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ แก่งกระจานคันทรี่คลับ เพชรบุรี ๑๐-๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกาและอินเดีย ๑๖ - ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘ [ตอนที่ ๓ มหินตาเล-อนุราธปุระ]