ณ กาลครั้งหนึ่ง...พัทยา ตอนที่ ๑

 
มศพ.
วันที่  10 พ.ย. 2558
หมายเลข  27197
อ่าน  2,023

กาลครั้งหนึ่ง ที่ วิลล่า วิลล่า ลัคชัวร์รี่ รีสอร์ท พัทยา จ. ชลบุรี ระหว่างวันที่ 3-5 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2558 ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้ให้โอกาสแก่กลุ่ม "ปกติ" เพื่อไปพักผ่อนและสนทนาธรรม ณ สถานที่ที่มีบรรยากาศเงียบสงบ และผ่อนคลายมาก

ในช่วง 1-2 วันดังกล่าว DR.ณัฏฐพัฒน์ ธีรนันทวาณิช เจ้าของรีสอร์ตวิลล่า วิลล่าฯ ได้รับความเมตตาจากท่านอาจารย์ ให้เข้าร่วมการสนทนาธรรมและได้กราบปาวารณาท่านอาจารย์ เป็นมารดาทางธรรมอีกด้วย และได้ออกปากว่าเป็นบุญของชีวิตนี้ที่ได้เกิดมาและพบท่านอาจารย์

ช่วงการสนทนาคุณณัฏฐพัฒน์ มีความสงสัยและได้กราบขอคำอธิบายจากท่านอาจารย์ซึ่งท่านอาจารย์ก็มีเมตตาอธิบายจนทำให้เกิดความเข้าใจกระจ่างเพิ่มมากขึ้น

คุณณภัทร มีคำถามที่ได้กราบเรียนถาม ท่านอาจารย์ ซึ่งตรงใจกับสมาชิกหลายๆ ท่าน ซึ่งเป็นประโยชน์มหาศาล

ขอกล่าวถึงสถานที่สำหรับการสนทนาครั้งนี้ นับเป็นความกรุณาจากคุณณัฏฐพัฒน์ ท่านเจ้าของวิลล่าฯ ที่ให้จัดที่บ้านตัวอย่างสำหรับขายที่สวยงดงาม สุขสบายกว้างขวาง ท่านอาจารย์ได้เดินชมทั่วทุกมุมของบ้าน และยังได้ชมว่ามีการปลูกต้นไม้ใหญ่ได้ร่มรื่น น่าชื่นชมมาก

เริ่มจากวันที่ ๓ พ.ย. ๒๕๕๘

🔹 พระธรรมไม่มีลังเล ถูกคือถูก ผิดคือผิด

🔹 อวิชชามีจริงแต่ไม่รู้ ก็ไม่รู้นั้นแหละอวิชชา

🔹 สิ่งที่ปรากฏขึ้นทั้งหมดนั้นแหละเป็นสังขารธรรม ท่านจึงกล่าวว่านิพพานเป็นวิสังขารธรรม คือไม่เกิดอีกแล้ว

🔹 ที่แสวงหาเพราะว่าพอใจ หากไม่พอใจจะแสวงหาไหม?

🔹 รู้ไหมว่าโลภะมีมากเพียงใด แค่เอื้อมมือไปนี้ก็โลภะแล้ว แล้วคิดจะละโลภะได้ง่ายๆ หรือ?

🔹 ธรรมะเกิดแล้วดับแล้ว ที่ปรากฏอยู่คือธรรมะใหม่ที่เกิดสืบต่อเนื่องกันเรื่อยๆ มา เปรียบเสมือนเปลวไฟที่สว่างอยู่ต่อเนื่องไปขณะที่ยังมีเชื้อไฟ

🔹 ความไม่รู้ที่แสดงให้เห็นในชาตินี้ยังเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับที่สะสมมาหลายๆ ชาติ

🔹 เข้าใจถูกเมื่อไหร่ บูชาคุณพระพุทธองค์เมื่อนั้น

🔹 พึ่งพระรัตนตรัยเพื่ออะไรไม่ใช่สิ่งอื่นนอกจากเพื่อเข้าใจพระธรรม

🔹 พูดสิ่งที่ไม่เข้าใจ ย่อมทำลายพระพุทธศาสนาโดยไม่รู้ตัว

🔹 พระวินัยก็คือพระธรรมสำหรับเพศสมณะซึ่งหากท่านประพฤติปฏิบัติอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ย่อมปรากฏเสมือนดั่งพระอรหันต์ที่มีจริยวัตรที่งดงามหมดจรด

🔹 บารมีต่างๆ ล้วนเป็นปัจจัยให้ปัญญาเจริญขึ้น

🔹 ผู้ใดไม่รู้จักและเข้าใจพระธรรมพระศาสนาย่อมลบเลือนแล้วจากผู้นั้น

🔹 ผู้ที่เห็นผิด เท่ากับหันหลังให้พระสัจธรรม

🔹โลภะเปรียบเหมือนพงหนามรกชัฏหรือเหมือนหลุมกับดักมากมายที่รายล้อมอยู่ ไม่ควรประมาททุกย่างก้าว

🔹 กิเลสมีอยู่ทุกขณะ หากไม่เข้าใจขณะนี้ตามปกติแล้วจะไปรู้เมื่อไหร่?

🔹 มีครอบครัว มีลูก มีหน้าที่การงาน แล้วจะศึกษาธรรมะได้อย่างไร? การมีชีวิตอยู่อย่างคฤหัสถ์ก็เป็นปกติของธรรมะ ทำไมต้องไปทำอะไรให้ผิดปกติให้รู้พระธรรม ฟังไป...ศึกษาไป..ย่อมเข้าใจยิ่งขึ้นมั่นคงขึ้นว่าเป็นธรรมะ.

🔹 สิ่งที่ปรากฏสืบต่ออยู่ทุกขณะ ขณะนี้นี่แหละ คือสังสารวัฏฏ์ที่เห็นว่าไม่ใช่เรา เห็นคุณของพระรัตนตรัยหรือยัง? ขั้นต้นของหนทางแห่งการละ คือ เข้าใจว่าไม่มีอะไรที่เป็นเราเป็นของเราเลย

🔹 เมื่อฟังพระธรรมยังไม่เข้าใจ ย่อมมุ่งไปประพฤติปฏิบัติอะไรต่างๆ ด้วยความเป็นตัวตน

🔹 ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นมีมาก่อนพระพุทธศาสนา แต่ไม่ใช่เป็นไปด้วยความเป็นอนัตตา ดังนั้น ที่เรียงลำดับว่า ต้องรักษาศีลก่อน จึงมีสมาธิ แล้วมีปัญญา ไม่พ้นความเป็นเรา ย่อมไม่ใช่คำสอนของพระพุทธองค์

🔹 ฟังพระธรรมให้รู้ความจริงว่าขณะนี้มีแต่ธรรมะ แม้เข้าใจแล้วก็เป็นธรรมะ

🔹 ศีลเป็นอะไร? ศีลเป็นเจตสิก

🔹 ปรมัตถธรรมหมายถึงสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ขณะนี้และเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นไม่ได้เลย

🔹 ธรรมะทุกขณะเป็นทั้งปรมัตถธรรมและอภิธรรม

🔹 บางคนบอกว่าไม่เรียนพระอภิธรรม แต่เขาไม่รู้ว่าขณะนี้แหละมีอภิธรรมกำลังปรากฏ

🔹 กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา อัพยาคตาธัมมา ลึกซึ้งไหม? เดี๋ยวนี้หรือเปล่า?

🔹 ทรงแสดงธรรมโดยละเอียดก็เพื่อให้รู้ว่าเรานั้นไม่มี

🔹 ทรงแสดง กุศลศีล อกุศลศีล อัพยาคตศีล ก็เพื่อให้รู้จักความเป็นไป ของจิตที่ปกติเป็นเช่นนั้นตามเหตุและปัจจัยไม่มีเรา ของเรา เช่นกัน

🔹 กรรมที่เราสะสมมามากมายเหลือเกิน แล้วจะกำหนดให้ผลของกรรมเกิดเมื่อนั้นเมื่อนี่ได้อย่างไร?

🔹 ในชีวิตนี้ผลของกรรมแรกสุดคือ "การเกิด"

🔹 ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า "กรรม" ให้ผลได้ทุกอย่าง

🔹 จุติคือการเคลื่อนไป จุติจิตจึงทำกิจเคลื่อนไปจากภพนี้ เป็นกิจสุดท้ายในชาตินี้ หมดแล้วไม่มีจิตอื่นจะเกิดขึ้นในชาตินี้อีก

🔹 "ตรัสรู้" ไม่ใช่คิด ไม่ใช่ไตร่ตรอง แต่เป็นการประจักษ์แจ้งความจริง

🔹 พระธรรมเปรียบเสมือนหงายของที่คว่ำให้เห็นจิต เจตสิก รูป เปิดของที่ปิดความจริงแต่ละหนึ่ง เหมือนจุดประทีปให้คนที่มีตาดีพ้นจากความมืดของกิเลส

🔹 รู้มากเป็นเจ้าตำรา แต่ไม่เข้าใจความจริง จะมีประโยชน์อะไร?

🔹 ธรรมะไม่ใช่ชื่อเลย

🔹 ผู้ที่ไม่ได้สะสมมาย่อมไม่ละเอียดและไม่ตรง ทำให้ไม่เข้าใจแม้คำที่ทรงแสดงว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา

🔹 แม้เรียนพระอภิธรรมมามาก แต่ยังมีความเป็นตัวตนเสมอๆ หมายความว่าอย่างไร?

🔹 เมื่อมีผู้อื่นเขาเห็นผิด แล้วจะเห็นผิดตามเขาไปด้วยหรือ?

🔹 เมื่อเข้าใจได้ว่าสังสารวัฏฏ์เนิ่นนานแค่ไหน ก็พิสูจน์ได้ว่าเรามีความไม่รู้มามากมายเพียงใด

🔹 ถ้าไม่ตรง ก็คงไม่มีวันนี้ ที่ได้ยินได้ฟังคำจริง

🔹 ฟังพระธรรมต้องเป็นไปตามลำดับ จะลึกซึ้งขึ้นในทันทีไม่ได้

🔹 หากนิพพานไม่มี พระพุทธองค์คงไม่ทรงแสดงให้ได้เข้าใจ

🔹 เมื่อจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้น ความไม่รู้ก็ทำให้เริ่มติดข้อง

🔹 เมื่อมีปัญญาเพียงพอจึงจะเห็นโทษของโลภะ

🔹 อยู่ดีๆ จะห้ามไม่ให้กิเลสเกิดได้หรือ? ที่สอนว่าไม่ให้กิเลสเกิดขึ้น หากทำได้ คงทำกันไปหมดแล้ว และพระพุทธองค์คงไม่แสดงพระธรรมโดยละเอียดถึง ๔๕ พรรษา

🔹 ฟังพระธรรมแล้วเครียด เพราะอะไร? เพราะไม่เข้าใจ

🔹 เมื่อฟังธรรมแล้ว เบาสบาย เพราะความเข้าใจในความเป็นธรรมะ

🔹 เมื่อฟังพระสูตรต่างๆ แล้ว ไม่สามารถประพฤติปฏิบัติตามได้ อย่าโทษการฟัง แต่โทษความไม่เข้าใจ

🔹 ที่ไปทำอะไรผิดปกตินั้น เมื่อเข้าใจถูกต้องแล้วย่อมเห็นตรงข้ามกับสิ่งที่ไปทำมาแล้วนั้น

🔹 หากศึกษาพระธรรมแล้วติดข้องถูกต้องไหม?

🔹 สิ่งใดที่ผิดปกติ แม้จะเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ เหลือเชื่อเพียงใดก็ตาม ก็ต่างมาจากความไม่รู้

🔹 ที่กล่าวว่าฟังพระธรรมแล้วถูกจริตนั้นไม่ถูกต้อง เพราะเห็นผิดตามจริตก็มี ที่ถูกจริตเพราะชอบหรือไม่ชอบ แต่พระธรรมเป็นเรื่องของความจริง ผู้ฟังย่อมต้องเป็นผู้ตรงมีเหตุผลจึงสนใจฟังพระธรรม

🔹 ส่วนใหญ่ตัณหาจริตชอบฟังสิ่งที่ตนชอบซึ่งไม่ใช่ความจริง ส่วนทิฏฐิจริตมักมุ่งไปปฏิบัติ

🔹 ไม่รู้ว่าชาติไหนจะได้พบพระพุทธศาสนาอีก

🔹 ฟังพระธรรมแล้ว คิดว่าจะทำอย่างดีให้เกิดปัญญา นั้นเป็นตัวตนหรือเปล่า?

🔹 เมื่อมีทุกข์ สติเกิดยาก ทำอย่างไรดี อนัตตาหายไปไหน?

🔹 เมื่อเหตุปัจจัยพร้อม ไม่ว่าจะสุข จะทุกข์. จะทำอะไร ก็ตาม สติย่อมเกิดขึ้นระลึกรู้สภาพธรรมนั้นๆ ได้

🔹 มั่นคงหรือยังว่า สติเกิดขึ้นด้วยเหตุและปัจจัย ไม่ใช่เรา

🔹 ไม่มีใครเลือกได้ว่าจะให้ปัญญาเกิดเมื่อนั้นเมื่อนี่

🔹 เมื่อไม่รู้ย่อมละอะไรไม่ได้เลย ความเข้าใจธรรมะที่สะสมมาเท่านั้นย่อมเริ่มละคลายกิเลสได้ตามลำดับ

🔹 ถ้าเข้าใจว่าธรรมะไม่ใช่เรา ก็จะเริ่มปกติ ทำธุรกิจ หน้าที่การงานตามปกติธรรมดา เพราะรู้ว่าเป็นธรรมะ

🔹 แม้โลภะจะมีอยู่มากแต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นธรรมะ

🔹 ความห่วงใยผูกพันย่อมมีอยู่ต่อคนที่เรารัก แต่ก็เข้าใจได้เช่นกันว่านั้นก็เป็นธรรมะ

🔹 ถ้าเมตตาจริงๆ ย่อมไม่มีเขามีเราแน่

🔹 เมื่อเราจากโลกนี้ไป. ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรารักที่สุดในชาตินี้คือะไร

🔹 ความหวังดีเกิดได้กับทุกคนเมื่อเข้าใจได้ถึงความเสมอกันของสภาพธรรม เห็นก็เป็นเห็น ได้ยินก็เป็นได้ยิน ไม่ใช่ของเราของเขาเลย

🔹 เมตตาย่อมดีกว่าความรัก แล้วจะเมตตาลูกหรือจะรักลูก

🔹 ปัญญาอย่างเดียวเข้าใจความจริงได้ทุกอย่าง

🔹 ที่เป็นศัตรูนั้น มิใช่เป็นกับผู้อื่น แต่แท้จริงแล้วเป็นศัตรูกับตัวเองเท่านั้น

🔹 ไม่มีใครทำร้ายเราได้นอกจากกิเลสของเราเอง

🔹 จะไปนิพพานด้วยความอยาก เสียเวลาเปล่า

🔹 พระอรหันต์ไม่ได้อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปจึงต้องบวช แต่ที่ท่านบวชเพราะใช้ชีวิตแบบคฤหัสถ์ไม่ได้แล้ว

🔹 หากพระสงฆ์สาวกท่านไม่เมตตา ชนรุ่นหลังย่อมไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรม

🔹 เราสามารถเกื้อกูลพระภิกษุที่ขาดการศึกษาเรื่องพระธรรมวินัยให้เข้าถูกต้องได้ ด้วยความหวังดี

🔹 การที่ได้มีโอกาสเข้าใจสิ่งที่เป็นความจริงที่สุด ถูกต้องที่สุด ไม่มีผิด จะดีไหม?

🔹 ย่อมเป็นการเคารพต่อพระพุทธองค์เป็นอย่างยิ่ง หากได้ประพฤติปฏิบัติถูกต้องตามพระวินัย

🔹 ช่วยอย่างอื่นย่อมไม่ดีกว่าช่วยให้ได้เข้าใจความจริงที่ถูกต้อง

🔹 ใครจะทำอะไรได้นั้น ย่อมต้องมาจากความอยากของเขาเอง

🔹 คฤหัสถ์สอนพระภิกษุไม่ได้ แต่กล่าวพระวินัยให้ฟังได้

🔹 หากเห็นประโยชน์ของกุศลจริง ย่อมเจริญกุศลได้โดยไม่เลือก

🔹คนที่นอนหลับแล้วฝัน หากไม่ตื่นขึ้น ย่อมไม่รู้ว่าตัวเองฝัน คนไม่ได้ฟังพระธรรมก็เช่นกัน เมื่อยังไม่เข้าใจความจริงย่อมไม่รู้ว่าหลับอยู่ด้วยความไม่รู้

เรียบเรียงโดย : จักรกฤษณ์ เจนเจษฎา

ภาพถ่ายโดย : ฟองจันทร์ วอลชและทัสนีย์ ภิรมย์แก้ว


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
papon
วันที่ 11 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 11 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 11 พ.ย. 2558

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
siraya
วันที่ 11 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Guest
วันที่ 11 พ.ย. 2558

น้อมกราบ และขออนุโมทนาในพระสัทธรรมอย่างสูงครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 11 พ.ย. 2558

กราบอนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
apiwit
วันที่ 11 พ.ย. 2558

น้อมกราบพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น,กราบท่านอาจารย์สุจินต์ผู้เผยแพร่พระสัทธรรมและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
pulit
วันที่ 11 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Wisaka
วันที่ 11 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
Boonyavee
วันที่ 11 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
tanrat
วันที่ 12 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
j.jim
วันที่ 12 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
rrebs10576
วันที่ 13 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
wirat.k
วันที่ 14 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 15  
 
thilda
วันที่ 15 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 16  
 
orawan.c
วันที่ 15 พ.ย. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 17  
 
papon
วันที่ 15 พ.ย. 2558

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 18  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 24 ก.พ. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 19  
 
chatchai.k
วันที่ 10 พ.ย. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 20  
 
Jarunee.A
วันที่ 27 ก.ค. 2566

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ