ณ กาลครั้งหนึ่ง...พัทยา ตอนที่ ๒
ณ กาลครั้งหนึ่ง ... พัทยา ตอนที่ ๒
@ ความจริงแล้วคนดีไม่มี มีแต่ความดีที่ได้สะสมมา
@ เจตสิกที่ไม่ดีมีเท่าไหร่ รู้จักหรือยัง ขณะนี้มีหรือเปล่า?
@ ความไม่รู้เป็นพื้นของอกุศลทั้งหลาย
@ สติเกิด ไม่มีเราไปฝึก แต่เกิดตามเหตุปัจจัย
@ แม้สติก็ไม่ใช่เรา แล้วฝึกอะไร?
@ ฟังพระพุทธพจน์ต้องไม่เผิน ควรพิจารณาจนเข้าใจจริงๆ
@ สิ่งที่มีค่าในชีวิตนี้ที่ติดตามไปคือกุศลกรรม แต่อกุศลกรรมซึ่งไม่ดีก็ติดตามไปด้วย
@ การไปฝึกไปปฏิบัติไม่มีทางเป็นไปด้วยความเข้าใจ เป็นตัวเราที่ไปฝึกจะทำให้ได้
@ ปัญญาเท่านั้นที่เข้าใจ รู้ความเป็นไปของความจริงทีละเล็กทีละน้อย
@ เมื่อไม่รู้เท่าทันโลภะ จึงไปฝึกไปทำอะไรที่ผิดปกติ
@ ขณะนี้แข็งมีอยู่. แล้วความเข้าใจอยู่ตรงไหน?
@ เพราะต้องฟังแล้วคิด จึงทรงแสดงถึงปัญญาขั้นสุตมยญาณ
@ โลภะมาอย่างแยบคาย ไม่มีทางเท่าทันได้ นอกจากมีปัญญาที่เริ่มจะรู้ความจริง
@ ศึกษาพระสูตรไม่ดี ย่อมเป็นมิจฉาทิฏฐิ
@ เมื่อธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ความเพียรละกิเลสที่ถูกต้องจึงไม่มีตัวตน ที่กล่าวว่าในพระไตรปิฎกไม่มีถ้อยคำนี้ เนื่องจากผู้นั้นขาดการพิจารณาโดยละเอียดรอบคอบจึงเข้าใจผิดเรื่องอนัตตา
@ ฟังแล้วดูเหมือนจะรู้ เพราะโลภะต้องการให้เป็นเช่นนั้น
@ ปัญญาเท่านั้นที่ดับอนุสัยกิเลสได้ เพราะโลภะเกิดแล้วดับแล้ว. แล้วอะไรจะดับโลภะได้ ที่ดับต้องดับที่อนุสัยอันนอนเนื่องอยู่ด้วยปัญญา
@ ผู้มีปัญญาอาจดูไม่รู้ เหมือนดังประทีปที่ถูกครอบไว้ มีเพียงพระญาณของพระพุทธองค์ที่ทรงทราบ. และทรงแสดงความจริงเพียงเล็กน้อย ผู้นั้นย่อมประจักษ์แจ้งความจริง นี้คือผู้มีปัญญาในสมัยพุทธกาล
@ อกุศลเกิดขึ้น จะมีประโยชน์หากได้เข้าใจ
@ โลภะ ตัณหา นันทะ ต่างคือความติดข้องที่เป็นไปตามอาการที่เกิด
@ ภาวนา คือ จากไม่มีทำให้มี ที่มีอยู่แล้วทำให้มีเพิ่มขึ้น
@ ยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม คือ ไม่เว้นแม้แต่การฟังพระธรรมก็ต้องไม่ประมาทเลย
@ ทรงแสดงถึงโอฆะห้วงน้ำใหญ่แห่งความเห็นผิด เพราะขยับทำสิ่งใดด้วยความเป็นตัวตนนิดเดียวก็จมลงไปอีกแล้ว
@ ที่ว่าเป็นเรานั้นเนื่องมาจากจำไว้ แต่ธรรมะทั้งหลายนั้นเกิดดับไปแล้ว
@ ที่พูดว่ามีเพียง จิต เจตสิก รูป ต้องรู้ด้วยว่าตอนนี้อยู่ไหน?
@ โกรธเกิดแล้วดับแล้ว จะมีเราไปทำอะไรได้
@ ปัญญาเจริญขึ้นก็มีบารมี ๑๐ เกื้อกูลเป็นปัจจัย
@ ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ความต่างที่ว่า กำลังคิดไม่ใช่เรา
@ จากที่จำได้ว่าไม่มีเรา นึกขึ้นมาได้ ก็เป็นปัญญาขั้นฟัง
@ ฟังพระธรรมให้เข้าใจ บ่อยๆ เนืองๆ เพิ่มขึ้น มากขึ้น ลึกซึ้งขึ้น ว่าไม่มีเรา
@ ต้นไม้ใหญ่รากลึก ยังเอนเอียงไปได้ ความเข้าใจก็เช่นกัน จากไม่รู้อย่างหนาแน่นมั่นคง ก็เป็นค่อยๆ รู้ขึ้นเข้าใจขึ้นว่าไม่มีเรา
@ จิตนั้นรู้แจ้งในอารมณ์ จึงสามารถรู้ถึงความละเอียดและความแตกต่างของอารมณ์ที่ปรากฏได้ เช่น รู้ได้ถึงเพชรแท้ เพชรเทียม ต่างกัน ทั้งๆ ที่เหมือนกันมาก
@ ลองนึกดูว่า พระพุทธองค์ก่อนทรงปรินิพพานโดยจะจากไปไม่กลับมาแล้ว จะทรงตรัสคำสุดท้าย. ที่มีความสำคัญเพียงใด "ดูกรภิกษุทั้งหลายเราขอเตือนพวกเธอว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด"
@ เมื่อมีความเข้าใจถูกต้อง จะทราบได้ทันทีว่า ธรรมที่กล่าวนั้นเป็นคำใคร. และควรฟังคำใคร?
@ พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีอยู่จริง คือ ที่กำลังปรากฏอยู่ขณะนี้
@ ขณะที่รู้สึกเบาสบาย ย่อมไม่ใช่โลภะ เพราะไม่ได้ติดข้อง
@ ปัญญาห่างไกลจากโลภะมากเพราะรู้ความจริงจึงไม่ติดข้อง แต่เบาสบาย
@ เมื่อกล่าวว่ามีโลกของบัญญัติ. รู้ความหมายของบัญญัติจริงๆ หรือเปล่าว่า บัญญัติมาจากไหน คืออะไร ต้องชัดเจน
@ บัญญัติเป็นเพียงอาการที่ปรากฏของปรมัตถธรรม บัญญัติจึงไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง โลกของบัญญัติจึงไม่มี เป็นเพียงอารมณ์ของความคิดเท่านั้น
@ ที่สภาพธรรมเกิดดับอย่างรวดเร็วสุดประมาณนั้น ก็เพราะไม่ปรากฏการเกิดดับให้เห็นได้เลย
@ สภาพธรรมเกิดดับอยู่ก็ไม่รู้. แสดงให้เห็นได้ว่าความไม่รู้มีมากแค่ไหน
@ สภาพธรรมเกิดดับอย่างรวดเร็ว ปรากฏให้เห็นได้จากนิมิตที่สืบต่อกันนั้น จนเป็นอาการที่ปรากฏมีรูปร่างสัณฐานต่างๆ จึงเป็นบัญญัติที่เป็นอารมณ์ของจิตได้ ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีคำพูดใดๆ
@ จะรู้ความติดข้อง ก็ดูจากชอบสิ่งใด ชอบสีใด ชอบดูอะไร ชอบอาหารแบบไหน ที่เลือกนั้น ก็ด้วยความติดข้องนั้นอง
@ เจ็บป่วยทางกาย คนละเรื่องกับเจ็บปวดทางใจ
@ ปัญญาต้องประจักษ์แจ้งทุกคำที่ทรงแสดง จึงจะออกจากทุกข์ได้
@ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้เกิดขึ้นจากความเป็นอัตตาได้เลย แม้แต่การได้มาฟังพระธรรม
@ กว่าจะเป็นปกติ ไม่ทำอะไรผิด ก็นานแสนนาน เพราะโลภะคอยแทรกอยู่ทุกขณะ
@ ฟังแล้วก็คิดว่าจะไม่ทำอะไรเพราะกลัวโลภะนั้น ที่จะไม่ทำอะไรเลย มี ๒ อย่าง คือ เป็นเราที่ไม่ทำอะไรเลย กับ ไม่ทำอะไรด้วยความเป็นเรา มีแต่สภาพธรรมเท่านั้นที่ทำ
@ ทุกขอริยสัจจะนั้น คือ ความเกิดดับที่พระอรหันต์ท่านประจักษ์แจ้ง
@ ความเป็นเรามีเยอะมากจนยากที่จะเข้าใจทุกขอริยสัจจะได้
@ ปัญญาเห็นทุกขอริยสัจจะ. เราเห็นไม่ได้
@ สภาพธรรมที่ปรากฏนั้นตั้งขึ้นพร้อมนิมิต แล้วสัญญาจดจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมานานแสนนาน
@ สังเกตหรือเปล่าว่าที่ทำอะไรอยู่นี่ก็เพื่อสุขเวทนา เพื่อความรู้สึกที่เป็นสุข สร้างบ้านสวยๆ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาหารการกินทั้งหลาย เพราะเวทนาทั้งนั้น
@ ความพอใจในความเป็นเราก็เป็นเวทนาเช่นกัน
@ ศึกษาธรรมแล้วคิดเอง ผิดทั้งหมด
@ จะตั้งตนด้วยศีลอะไรจึงจะมีปัญญา ไม่มีทางเพราะคิดเอาอง
@ เพราะไม่รู้จักพระปัญญาคุณของพระพุทธองค์ จึงเห็นผิดเพราะผิวเผิน
ขออนุโมทนา
สาธุ กราบขอบพระคุณ ทุกคำเป็นกำลังใจที่จะต่อสู้กับความไม่รู้ไปอีกนานแสนนานค่ะ