พระอนาคามี - ยังติดอยู่กับการเสพกามคุณไหมครับ
แล้วเป็นพระอนาคามีนั้นยังมีความข้องติดอยู่กับการเสพกามคุณไหมครับ และอะไรที่บ่งบอกว่าบุคคลเหล่านั้นได้บรรลุเป็นพระอนาคามี และการบรรลุธรรมตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์นั้นจะรู้ตัวเองอยู่เสมอหรือไม่รู้ตัวเองครับ และการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งบรรลุธรรมจะมีอะไรบ่งบอกครับว่าได้บรรลุธรรมถึงขั้นไหนแล้ว ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอนาคามี คือ พระอริยบุคคล ขั้นที่สาม ที่ดับแล้วที่เป็นเครื่องร้อยรัด สังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ ประการแล้ว คือ สักกายทิฏฐิ คือความยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย สีลัพพตปรามาส ข้อวัตรปฏิบัติที่ผิด โทสะ ความขุ่นใจและโลภะ ที่ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส ๕ ประการ จนหมดสิ้นไม่เกิดอีกเลย เมื่อดับกิเลส ๕ ประการเหล่านี้แล้ว ความประพฤติเป็นไปทางกาย วาจา และใจก็น้อมไปตามคุณธรรมของท่าน เมื่อดับกิเลสคือโลภะที่ยินดีในรูปเสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัสแล้ว ก็ไม่มีความยินดีที่จะครองเรือน เพราะฉะนั้นหากเป็นพระอนาคามี ไม่ว่าจะอยู่ในเพศบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ก็ตาม ท่านก็จะไม่มีการครองเรือนแต่งงานอีก หรือถ้าครองเรือนอยู่ ก็ไม่ครองเรือน ครับ
ดั่งเช่น พระอริยบุคคล ที่เป็นพระอนาคามีในอดีตกาล มี ท่านอุคคตคฤหบดีที่มีภรรยาอยู่หลายคน เมื่อบรรลุเป็นพระอนาคามีแล้ว ท่านก็ให้ภรรยาสามารถไปกับคนอื่นได้ตามชอบใจ ส่วนตัวท่าน ก็ไม่ครองเรือนอีก และมีศีล ๘ เป็นปกติของท่านซึ่งในศีลข้อ ๘ ข้อที่ ๓ ก็มีข้ออพรหมจรรย์ คืองดเว้นจากการเสพเมถุนธรรม ที่เป็นธรรมที่เป็นของต่ำของชาวบ้าน
พระอนาคามี เมื่อบรรลุธรรม ย่อมมีปัญญาเกิดขึ้นพิจารณากิเลสที่ละแล้วและที่เหลืออยู่ ย่อมรู้ด้วยปัญญาว่าเป็นพระอนาคามี โดยนัยกับพระอริยบุคคลอื่นเช่นกัน ที่มีปัญญารู้ตามความเป็นจริงตรงว่าเป็นพระอริยบุคคลขั้นไหนครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอริยบุคคลทุกระดับขั้น บรรลุได้ด้วยปัญญา พระอนาคามีก็เช่นเดียวกัน บรรลุได้ด้วยปัญญา ในระดับที่เกิดพร้อมกับอนาคามิมรรค ประจักษ์แจ้งความจริง ดับกิเลสได้อีกระดับหนึ่ง กล่าวคือ ดับความยินดีพอใจในกามได้ ดับความโกรธได้ รวมถึงดับกิเลสที่อยู่ในฐานะเดียวกันได้ทั้งหมด และรู้ได้ด้วยปัญญา ไม่ใช่ตัวท่านที่รู้ แต่เป็นกิจของปัญญา เป็นธรรมดาของผู้ที่มีปัญญา ท่านจะมีความประพฤติเป็นไปที่เห็นได้ชัด ๒ ประการ คือปกปิดคุณของตน และความประสงค์ที่ดีที่จะให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์จากพระธรรมเหมือนอย่างที่ท่านได้รับมา เพราะพระธรรม ใครมีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา ประโยชน์ก็ย่อมเกิดมีแก่ผู้นั้น ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...