ตรึก-ระลึก-นึก-คิด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตรึก-ระลึก-นึก-คิด แต่ละคำ มีศัพท์บาลี และ หรือ ศัพท์ธัมมะ ว่าอย่างไร แต่ละคำมีลักษณะแตกต่างกันอย่างไร หากจะยกตัวอย่างด้วยก็ดีค่ะ ด้วยความที่ธัมมะมีความละเอียดอย่างยิ่ง จึงใคร่ขอความรู้ความเข้าใจที่ละเอียดค่ะ
ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตรึก (วิตักกเจตสิก) วิตกเจตสิก เป็นธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ตรึกหรือจรดในอารมณ์ เกิดกับกุศลก็ได้ หรือ อกุศลก็ได้ ถ้าตรึกไปในทางที่เป็นกุศล ก็เป็นกุศลวิตก ในทางตรงกันข้าม ถ้าตรึกไปในทางอกุศล ก็เป็นอกุศลวิตก เป็นธรรมที่มีจริง ที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย และเกิดเองเพียงลำพังไม่ได้ ก็ต้องเกิดร่วมกับจิต และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย
นึกคิด เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นนามธรรม คือ เป็นสภาพธรรมที่รู้อารมณ์กล่าวคือ เมื่อความคิดเกิดขึ้น จะต้องรู้ในสิ่งที่ถูกคิด สิ่งที่ถูกคิด เรียกว่า อารมณ์ ดังนั้น ความคิดนึก จึงไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมที่น้อมไปสู่อารมณ์ ได้แก่ จิตกับเจตสิก เพราะมีอาศัยจิตและเจตสิก จึงเกิดความคิดนึกได้และในอีกนัยหนึ่ง แสดงว่า วิตักกเจตสิก ก็ทำหน้าที่ตรึกนึกคิด ได้ ซึ่งก็เป็นธรรมที่มีจริงทั้งหมด ที่เกิดเพราะเหตุ
ระลึก คือ สภาพธรรมที่เป็นสติ ที่ระลึกเป็นไปในทาน ศีล ภาวนา
สติ ตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็นเจตสิก สติ เป็นเจตสิกฝ่ายดี คือเกิดกับจิตที่ดีงาม ไม่เกิดกับอกุศลจิตเลย สติ ทำหน้าที่ระลึกเป็นไปในทางที่ดี และ สติเป็นธรรมที่เป็นเครื่องกั้นกระแสกิเลส สติ มีหลายอย่าง หลายชนิด แต่ สติ ก็ต้องกลับมาที่ สติเป็น สภาพธรรมฝ่ายดี สติ แบ่งตามระดับของกุศลจิต เพราะเมื่อใด กุศลจิตเกิด สติจะต้องเกิดร่วมด้วยกุศลจิต มี ๔ ขั้น คือ ขั้นทาน ศีล สมถภาวนา และ วิปัสสนาภาวนา
สติจึงมี ๔ ขั้น คือ สติที่ระลึกเป็นไปในทาน สติที่ระลึกไปในศีล สติที่ระลึกเป็นไปในสมถภาวนา และ สติที่ระลึกเป็นไปในวิปัสสนาภาวนา
สติขั้นทาน คือ เมื่อสติเกิดย่อมระลึกที่จะให้สติขั้นศีล คือ ระลึกที่จะไม่ทำบาป งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ สติขั้นสมถภาวนา เช่น ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า และสติขั้นวิปัสสนา คือ สติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ เกิดพร้อมปัญญารู้ความจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประโยชน์ของการมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย และสิ่งที่จะศึกษาให้เข้าใจนั้น ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใดก็ตาม ก็ไม่พ้นไปจากธรรมเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม จนกว่าจะได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง และที่สำคัญเข้าใจธรรมในภาษาของตน อย่างที่กล่าวถึง คิดนึก มีจริง มีใครไม่เคยคิดบ้าง เคยด้วยกันทั้งนั้น เช่น คิดถึงเรื่องราวต่างๆ ขณะนั้น จิตก็มี เจตสิกธรรม มี วิตักกเจตสิกเป็นต้น ก็มี ล้วนแล้วแต่เป็นธรรมที่เกิดพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา, สภาพธรรมที่ระลึกเป็นไปในความดีประการต่างๆ มีจริง เช่น เห็นคนลำบากแล้วช่วยเหลือ นั่นก็เพราะสติเกิดขึ้นเป็นไปในกุศลนั้นๆ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ในชีวิตปกติประจำวัน แต่ละขณะ มีการฟังธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งให้มีการตรึกไปในกุศล และอกุศล บังคับบัญชาไม่ได้ เพราะไม่มีตัวตนจะไปทำหรือบังคับให้เกิดธรรมะนั้นๆ ระลึกรู้ในสภาพธรรมะที่กำลังเกิด นับเป็นมหากุศลที่ได้รับฟังจากมูลนิธิ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ