สัตว์นรก
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเรียนถามค่ะ ตามรูปภาพ เห็นมีแต่รูปสัตว์นรกที่รูปลักษณ์เป็นคน ไม่มีเสื้อผ้า เป็นคนหัวโล้นห่มจีวร ไม่ทราบว่ามีแสดงในพระไตรปิฎกอย่างไร เป็นโอปปาติกะ ใช่ไหมคะ แล้วสัตว์เดรัจฉานตายไปไม่ตกนรกเป็นรูปสัตว์เดรัจฉานบ้างหรือค่ะ เพราะอะไร ถามอย่างนี้เป็นอจินไตยหรือไม่ อย่างไรจึงเป็นอจินไตย
ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในพระไตรปิฎกไม่ได้แสดงลักษณะของสัตว์นรกโดยละเอียด แสดงลักษณะของสัตว์นรกบางตน เช่น พระเทวทัต เป็นต้น ครับ ขออนุโมทนา
[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ หน้าที่ 198
[๕๑๔] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่านายนิรยบาลจะโยนสัตว์นั้นเข้าไปในมหานรก ก็มหานรกนั้นแล มีสี่มุม สี่ประตู แบ่งไว้โดยส่วนเท่ากัน มีกำแพงเหล็กล้อมรอบครอบไว้ด้วยแผ่นเหล็ก พื้นของนรกใหญ่นั้นล้วนแล้ด้วยเหล็ก ลุกโพลง แผ่ไปตลอดร้อยโยชน์รอบด้านประดิษฐานอยู่ทุกเมื่อ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และมหานรกนั้น มีเปลวไฟพลุ่งจากฝาด้านหน้าจดฝาด้านหลัง พลุ่งจากฝาด้านหลังจดฝาด้านหน้า พลุ่งจากฝาด้านเหนือจดฝาด้านได้ พลุ่งจากฝาด้านได้จดฝาด้านเหนือ พลุ่งขึ้นจากข้างล่างจดข้างบน พลุ่งจากข้างบนจดข้างล่าง สัตว์นั้นจะเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายครบเท่าบาปกรรมยังไม่สิ้นสุด
[๕๑๕] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกเปิด. สัตว์นั้น จะรีบวิ่งไปยังประตูนั้น โดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูป เดิมทันที และในขณะที่สัตว์นั้น ใกล้จะถึงประตู ประตูนั้นจะปิด สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด
[๕๑๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหลังของมหานรกนั้นเปิด ฯลฯ ประตูด้านเหนือเปิด ฯลฯ ประตูด้านใต้เปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้นโดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบแต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้วจะกลับคงรูปเดิมทันที และในขณะที่สัตว์นั้นใกล้จะถึงประตู ประตูนั้นจะปิด สัตว์นั้นย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในมหานรกนั้น และยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด
[๕๑๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีสมัยที่ในบางครั้งบางคราว โดยล่วงระยะกาลนาน ประตูด้านหน้าของมหานรกนั้นเปิด สัตว์นั้นจะรีบวิ่งไปยังประตูนั้น โดยเร็ว ย่อมถูกไฟไหม้ผิว ไหม้หนัง ไหม้เนื้อ ไหม้เอ็น แม้กระดูกทั้งหลายก็เป็นควันตลบ แต่อวัยวะที่สัตว์นั้นยกขึ้นแล้ว จะกลับคงรูปเดิมทันที สัตว์นั้นจะออกทางประตูนั้นได้ แต่ว่ามหานรกนั้นแล มีนรกเต็มด้วยคูถใหญ่ประกอบอยู่รอบด้าน สัตว์นั้นจะตกลงในนรกคูถนั้น และในนรกคูถนั้นแล มีหมู่สัตว์ปากดังเข็มคอยเฉือดเฉือนผิว แล้วเฉือดเฉือนหนัง แล้วเฉือดเฉือนเนื้อ แล้วเฉือดเฉือนเอ็น แล้วเฉือดเฉือนกระดูก แล้วกินเยื่อในกระดูก สัตว์นั้น ย่อมเสวยเวทนาอันเป็นทุกข์กล้า เจ็บแสบ อยู่ในนรกคูถนั้นและยังไม่ตายตราบเท่าบาปกรรมนั้นยังไม่สิ้นสุด
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ตามความเป็นจริงแล้วไม่มีกำลังใดที่จะเสมอด้วยกำลังของกรรม ผลของการทำชั่วจากการที่ได้ล่วงอกุศลกรรมบถ ๑๐ มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ เป็นต้น ทำให้ตกนรก ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส เมื่ออกุศลกรรมให้ผล ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงได้ จึงเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีว่า แม้อกุศลเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรประมาท เพราะจะสะสมเป็นอุปนิสัยที่มีกำลังที่จะกระทำอกุศลกรรม ล่วงเป็นทุจริตประการต่างๆ ซึ่งเป็นเหตุนำมาซึ่งความทุกข์ ความเดือดร้อนในภายหลังได้
ความทารุณโหดร้ายที่สัตว์นรกได้รับในอบายภูมิเพราะผลของอกุศลกรรม กับ การได้รับความเจ็บปวดทางกายในชีวิตประจำวัน นั้น ย่อมเทียบกันไม่ได้เลย ภัยในนรกเป็นภัยที่น่ากลัว เป็นภัยหนึ่งของวัฏฏะ ซึ่งเป็นภัยที่ยังมีโอกาสได้พบเจอ ตราบใดที่ยังไม่ได้อบรมเจริญปัญญาถึงขั้นที่จะประจักษ์แจ้งความจริงบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคล เหล่าสัตว์ผู้มืดบอดด้วยอวิชชา (ความไม่รู้) ก็ยังคงต้องเวียนว่ายตายเกิด ไปในภพภูมิแห่งทุกข์ ชาติแล้วชาติเล่าไม่สิ้นสุด ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงไม่มีอะไรที่จะเป็นที่พึ่งได้ นอกจากการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...