ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บริษัท ศรินทิพย์ อินเตอร์แพค จำกัด ๔ ธันวาคม ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  19 ธ.ค. 2558
หมายเลข  27310
อ่าน  2,289

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันศุกร์ ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะวิทยากรของมูลนิธิฯ ได้รับเชิญจากคุณชื่นทิพย์ ไกรเดชชัยกิตติ และครอบครัว เพื่อไปสนทนาธรรมที่ บริษัท ศรินทิพย์ อินเตอร์แพค จำกัด เลขที่ ๑๔/๒๔ หมู่ ๕ ถนนเทิดพระเกียรติ ตำบลเสาธงหิน อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี

ขออนุญาตนำความสนทนาธรรมบางตอนมาฝากทุกๆ ท่านที่ไม่มีโอกาสได้ไปร่วมสนทนาธรรม เพื่อพิจารณาเช่นเคย ดังนี้ครับ

อ.ธิดารัตน์ กราบท่านอาจารย์ค่ะ ผู้ที่ศึกษา ก่อนที่จะสามารถเข้าใจลักษณะของอกุศลธรรมแต่ละประเภท ก็เหมือนกับมีความเป็นเรา ที่จะต้องต่อสู้กับอกุศลอะไรอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น การเรียนธรรมะหรือปริยัติ จะเกื้อกูลให้ปฏิบัติถูกต้องได้อย่างไรคะ?

ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ปฏิบัติไม่ได้ ใช่ไหม? เพราะปฏิปัตติ หมายความถึง ปัญญา ที่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมี เดี๋ยวนี้ จากการที่ได้ฟัง ถ้าไม่ได้ฟังเลย ก็ไม่รู้ว่า ปัญญารู้อะไร? แต่พอได้ฟัง ก็รู้ว่า ปัญญา ความเข้าใจถูกต้อง ต้องเป็นความเข้าใจถูกต้อง ในสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้

เพราะฉะนั้น ก็ละความเป็นเราที่จะทำ เพราะว่า ทำอะไรไม่ได้!!! เกิดแล้ว...เกิดแล้วจริงๆ !!! จะทำ "เห็น" ก็ "เห็น" เกิดแล้ว!!! ไม่ได้ทำ จะทำ "ได้ยิน" ได้ยินก็เกิดแล้ว ไม่ได้มีใครไปทำเลย

เป็นผู้ที่เข้าใจจริงๆ ใน "คำที่ได้ฟัง" เข้าใจเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น จึงสามารถที่จะทำให้ ถึงเวลา กาละ ขณะ ที่สามารถ "เข้าถึง" ความเข้าใจ "เห็น" ที่กำลังเห็น เฉพาะแต่ละหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ เกิดขึ้นและดับไป เป็นเรื่องของความเข้าใจ เป็นเรื่องของความอดทน เป็นเรื่องของการละ เป็นเรื่องของความไม่เดือดร้อน เดือดร้อนเมื่อไหร่ รู้เลย กิเลส ตัวตน เมื่อนั้น และ "ไม่เดือดร้อน" ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ไม่เดือดร้อนก็เป็นเรา ทุกอย่างหมด ถ้าขณะนั้นไม่ได้เข้าใจถูกต้อง ว่าไม่ใช่เรา

"เห็น" ไม่ใช่เรา "ได้ยิน" ไม่ใช่เรา "คิด" ไม่ใช่เรา "ฟัง" ซ้ำไป ซ้ำมา สภาพธรรมะก็เกิดดับ เกิดดับ ซ้ำไป ซ้ำมา เห็นก็เห็น ได้ยินก็ได้ยิน จนกว่าจะเข้าใจขึ้น เห็นความลึกซึ้งของสภาพธรรมะซึ่งถูกปิดบังไว้ด้วยความไม่รู้ เราใช้ภาษาบาลีว่า "อวิชชา" ทำไมไม่เห็นการเกิดดับของ "เห็น" เดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลังเกิดดับ เพราะไม่รู้ ว่าไม่ใช่เรา!!! ไม่ได้รู้ว่า เป็นธาตุ สิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้นแล้วต้องรู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้าเห็นเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งที่ถูกเห็นให้รู้ เป็นไปไม่ได้

ฟังไปเรื่อยๆ เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจับด้ามมีด โดยไม่หวังอะไร เพราะรู้ว่า ทำอะไรไม่ได้!!! ไม่มีเรา เป็นจิต เจตสิก รูป

ฟังทุกวัน ธรรมะมีทุกวัน ค่อยๆ เข้าใจไปทุกวัน ค่อยๆ เข้าใจไปทุกวัน ไม่ใช่เข้าใจอื่น เข้าใจสิ่งที่กำลังฟัง!!!

อ.คำปั่น ครับ ซึ่งในแต่ละคน เวลาในการฟังธรรมะ ก็จะมีหลากหลายเรื่อง หลากหลายประเด็น แต่ว่าเมื่อประมวลแล้วก็ไม่พ้นจากความจริงของธรรมะเลย ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใดก็ตาม ก็ประมวลอยู่ที่ว่า เป็นธรรมะที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา และที่ละเอียดลึกซึ้งจริงๆ ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาอยู่บ่อยครั้งว่า ไม่มีใครเลย ก็น่าพิจารณาว่า สำหรับผู้เริ่มศึกษา พอได้ยินคำว่า "ไม่มีใครเลย" จะให้ความเข้าใจความจริงอย่างไรครับ ท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ แล้ว "ใคร" อยู่ไหน?

อ.คำปั่น ก็ดูเหมือนว่า มีกระผม มีคนนั้น คนนี้ อย่างนี้ครับ

ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้น มีคุณคำปั่นแน่หรือ?

อ.คำปั่น นี่แหละครับท่านอาจารย์ครับ ในความเป็นจริงก็คือ ไม่มีครับ

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ความเป็นจริง ได้ยินแล้ววันนี้ พรุ่งนี้ได้ยินอีก ได้ยินทุกวัน เห็นทุกวัน คิดทุกวัน ค่อยๆ มั่นคงขึ้น นี่คือ เอ...ทำไมไม่ปรากฏสักที ก็ฟังออกทุกวัน แล้วก็ไม่เปลี่ยนเลย เห็นก็กำลังเห็น แล้วก็พูดเรื่องเห็น ก็ต้องเป็นอย่างนี้ จึงจะมั่นคง ไม่ใช่ฟังครั้งเดียว หายไปสิบปี แล้วจะมั่นคงได้อย่างไร?

แต่ถ้าฟังก็เรื่อง "เห็น" พรุ่งนี้ก็มีเห็น แล้วก็ได้ยินว่า "เห็น" ไม่ใช่เรา!!! เห็นเกิดขึ้น กำลังเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก อย่างนี้นั่นแหละ หนทางนี้ หนทางเดียว ที่รู้ไหมว่า ค่อยๆ เข้าใจขึ้น!!!

ความเข้าใจ ไม่ได้ปรากฏชัดเจนว่า สามารถที่จะละความเป็นตัวตนได้เลย ไม่เป็นอย่างนั้นเลย!!! แต่เพราะเหตุว่า สะสมอวิชชา ความไม่รู้มามาก แล้วก็ได้ฟังน้อย ถ้าเปรียบเทียบกับการที่ได้สะสมความไม่รู้มามาก ก็ฟังอย่างนี้แหละ ไม่มีทางอื่นเลย...

พระผู้มีพระภาคฯเสด็จไป จาริกสู่สถานที่ที่มีผู้ที่สมควรจะได้ฟังธรรมะ เขาก็ได้ยินอย่างนี้ เรื่องเดียวกันเลย เพราะเขาก็มีตา กำลังเห็น จะให้พูดเรื่องอะไร? ก็ต้องพูดเรื่อง "เห็น" ที่กำลังเห็น

เพราะฉะนั้น ทั้งหมดในพระไตรปิฎก ไม่พ้นจากสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ และการที่จะสงสัยว่า แล้วเมื่อไหร่จะมั่นคง ก็คือ กำลังค่อยๆ มั่นคง จนกว่าความมั่นคงนั้นจะปรากฏ!!!

เพราะฉะนั้น จากการที่ได้ฟังแล้วเข้าใจในพระพุทธพจน์ เป็นปริยัติ รอบรู้ว่าเป็นธรรมะแน่นอน ไม่ใช่เราแน่นอน ในขั้นฟังเดี๋ยวนี้ มีคุณคำปั่น ก็แสดงว่า ความเข้าใจว่าเป็นเรายังมีอยู่ ใช่ไหม? แต่การได้ฟังว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ก็มี ก็เริ่มมี

กว่าจะค่อยๆ "เริ่มมี" จนกระทั่งมั่นคง กว่าการที่เคยสะสมมาแสนโกฏิกัปป์ ว่ามีคุณคำปั่น ก็จะค่อยๆ ลดน้อยลง จนกระทั่ง "สัจจญาณ" ไม่เปลี่ยน ไม่ต้องไปไหน อยู่ตรงนี้ จะเข้าใจก็เข้าใจขณะที่ "เห็น" กำลังเห็นนี่แหละ หรือว่า "ได้ยิน" กำลังได้ยินนี่แหละ ไม่ใช่ไปนึกคิดเอา ว่า เป็นเห็น เป็นได้ยิน แต่ขณะนี้เอง ที่มีเห็น แล้วไม่รู้ ก็ฟังจนกระทั่ง กำลังเห็นนี่แหละ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในสิ่งที่กำลังมี

นี่คือความมั่นคง ค่อยๆ มั่นคง จนถึงสัจจญาณ เมื่อมีปริยัติ ความรอบรู้จนเป็นสัจจญาณแล้ว จึงเป็นปัจจัยให้ปฏิปัตติเกิดขึ้นทำกิจ เป็น "กิจจญาณ" สามารถที่จะเริ่มเข้าใจธรรมะที่กำลังปรากฏ โดยความเป็นอนัตตา "ไม่ได้เลือก ไม่ได้จงใจที่จะรู้" แม้ลมหายใจหรือว่าแม้เห็น หรือแม้แต่คิดนึก เพราะเหตุว่า สติเป็นอนัตตา ปัญญาเป็นอนัตตา

เพราะฉะนั้น เมื่อมีความเข้าใจธรรมะขึ้น ธรรมะก็พิสูจน์ความเป็นอนัตตามั่นคงขึ้น เพราะว่า ยังเป็นอัตตาก็คือเรานั่นแหละ ที่จะพยายามทำ แต่เมื่อมีความเข้าใจในความเป็นอนัตตาขึ้น สภาพธรรมะก็ปรากฏความเป็นอนัตตา มั่นคงขึ้นอีก!!

เพราะฉะนั้น เวลาที่มีการรู้เฉพาะสิ่งหนึ่งสิ่งใด เฉพาะลักษณะหนึ่ง ทีละหนึ่ง ขณะนั้นก็เริ่มรู้ว่า คำนี้แหละ ที่พระผู้มีพระภาคฯทรงบัญญัติว่า "สภาพธรรมะที่ระลึก" เป็น "สติสัมปชัญญะ" สติที่กำลังเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ แล้วก็ดับไป ไม่ให้ดับก็ไม่ได้

กว่าจะสะสม จนกระทั่งสามารถที่จะ จากปริยัติ เป็นสัจจญาณ แล้วก็เป็นปฏิปัตติ คือ กิจจญาณ แล้วก็เป็น กตญาณ คือ ปฏิเวธ แทงตลอดความจริงที่กำลังเกิดดับได้ ด้วยปัญญาที่เข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย

อ.คำปั่น ครับ ก็เป็นประโยชน์มากครับท่านอาจารย์ครับ ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา ในความจริง เพราะว่ามีแต่ธรรมะเท่านั้น ที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่

ในเบื้องต้นที่ได้ฟังว่า ไม่มีใครเลย แต่ก็มีอะไรที่มีจริงในขณะนั้น ก็คือ มีธรรมะที่มีจริงๆ ที่เกิดขึ้น ทำกิจ ทำหน้าที่ ซึ่งก็ไม่พ้นไปจากสิ่งที่กำลังเรียน กำลังศึกษาอยู่ในขณะนี้ ในเรื่องของจิตบ้าง ในเรื่องของเจตสิกประการต่างๆ บ้าง แล้วก็ในเรื่องของสภาพธรรมะที่ไม่รู้อะไร ที่เป็นรูปธรรมประการต่างๆ ก็เพื่อความเข้าใจที่มั่นคงในความเป็นจริงของธรรมะ เพื่อขัดเกลา ละคลายการยึดถือในสิ่งที่มีจริงๆ ที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา เป็นสัตว์บุคคลต่างๆ ก็เป็นประโยชน์ตรงนี้ครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ พรุ่งนี้ก็เหมือนเดิม (ยิ้ม) คือ ได้ฟังคำอย่างนี้แหละ จะฟังไหม? หรือจะเว้นไปสักสิบปี แล้วค่อยมาฟังใหม่? ใช่ไหม? ก็ต่างกันแล้ว การได้ยิน ได้ฟังบ่อยๆ ทุกวัน แล้วก็มีความละเอียดเพิ่มขึ้น ไม่ได้พูดอยู่แค่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ยังมีสภาพธรรมะทั้งหมดที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เป็นอุปนิสสยปัจจัย "นิสสยะ" หมายความถึง ที่อาศัย "อุป" มีกำลัง

เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้ฟังธรรมะบ่อยๆ เวลานี้ใครคิดถึงสนามหลวงบ้าง? เห็นไหม? กำลังได้ยินธรรมะ จะไปคิดเรื่องอื่นได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้ยินบ่อยขึ้น บ่อยขึ้น การที่เราจะไปคิดถึงเรื่องอื่นซึ่งเคยคิด ก็ลดน้อยลง เพราะเหตุว่า การได้ยิน ได้ฟัง ก็ทำให้เรา ขณะนั้น ไม่ใช่ความจงใจที่เป็นตัวตน แต่เพราะฟัง สะสมไว้ สะสมไว้ ก็จะเป็นนิสัย หรืออุปนิสัย ในการที่เราจะฟังอีก ที่จะฟังอีก ไม่ไปที่อื่น ไม่ไปสู่การคิดนึกเรื่องอื่น

เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า ต้องเข้าใจคำว่า ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น ต้องมีปัจจัย ถ้าอยากเข้าใจธรรมะมากขึ้น ก็ต้องฟังบ่อยๆ ถ้าไม่ฟังบ่อยๆ จะเข้าใจได้อย่างไร? ใช่ไหม? จากการฟังบ่อยๆ ก็รู้ว่า ขาดการฟังไม่ได้ เพราะว่า ขาดการฟังเมื่อไหร่ ก็คิดเรื่องอื่น ลืมธรรมะไปอีกแล้ว!!!

เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ลืมธรรมะ เมื่อไม่ได้ฟังธรรมะ แต่ขณะใดก็ตามที่ฟังธรรมะ ก็ไม่ลืม ได้ฟังบ่อยๆ จนเป็นนิสัย ชาตินี้จะเป็นชาติก่อนของชาติหน้าแน่นอน เดี๋ยวนี้จะเป็นชาติก่อน ของชาติหน้ากำลังเป็นนิสัยของการฟังธรรม ที่จะอบรมไป จนกระทั่ง พอถึงชาติหน้า พอได้ยินคำว่าธรรมะ ก็อยากฟัง รู้ว่าเป็นประโยชน์ก็ฟัง และฟังแล้วเห็นประโยชน์ ซ้ำไป ซ้ำมา ก็ค่อยๆ เข้าใจมั่นคงขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะเริ่มรู้ว่า ทั้งหมดเป็นธรรมะ นานไหม?

ไม่ว่าอะไร ความคุ้นเคย ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้น ก็จะรู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะ และความเข้าใจก็จะลึก ละเอียดขึ้น เคยพอใจในสิ่งที่ไม่มี แต่จำไว้ว่ามี นี่เริ่มคิดแล้ว ไม่มี แต่จำว่ายังมี อย่างเห็นขณะนี้ เกิดแล้วก็ดับ แล้วก็มีเห็นอีก เกิดดับสืบต่อ มีได้ยิน มีคิดนึก ไม่ว่างเว้นเลย มีสภาพธรรมะที่มีปัจจัยเกิดขึ้นไม่ขาดสาย แต่ว่าความเข้าใจ เข้าใจหรือเปล่า? ว่าสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ดับ หมายความว่า ไม่กลับมาอีกเลย แต่ไม่ปรากฏ เพราะเหตุว่า มีสภาพธรรมะอื่น เกิดสืบต่อทันที ติดกันทันที ไม่มีระหว่างคั่น แล้วจะไปเห็นการดับไปของสภาพธรรมะที่เกิดแล้วดับในขณะนี้ได้หรือ? ถ้าไม่ฟังจนกระทั่งมีความเข้าใจ และเริ่มสลดใจ สลดใจนี้เป็นปัญญา

นาม รูป เท็จหรือเปล่า? ไม่มีเรา แต่เข้าใจว่าเป็นเรา ก็ลวงมาระดับหนึ่ง ลวงว่าเป็นเรา แต่ว่า การเกิดดับของนามรูปซึ่งสืบต่อเร็วสุดที่จะประมาณได้ เท็จหรือเปล่า? ไม่มียังเหมือนว่ามี อย่างดอกกุหลาบนี่ เป็นรูปธรรม เกิดดับ ดับจริงๆ จิตที่เห็นก็เกิดดับไม่มีอะไรเหลือเลย สักขณะเดียว

เพราะฉะนั้น ไม่มีจริงๆ แต่ลวงว่ามี เพราะเหมือนไม่ได้ดับไปเลย ด้วยเหตุนี้ กว่าจะรู้ว่า นามรูปเท็จ ที่ข้อความในพระไตรปิฎกกล่าวว่า นามรูปเท็จ ต้องเป็นปัญญาที่เห็นว่า นามรูปเคยลวงว่าเที่ยงมานานแสนนาน เก้าอี้ก็ตั้งอยู่ตรงนั้น นาฬิกาก็อยู่ตรงนี้ ลวงว่าไม่ได้ดับไปเลย แต่ความจริงไม่มี สิ่งที่ไม่มีแล้วแสดงเหมือนว่ามี ไม่ใช่ลวงหรือ?

ไม่ใช่เท็จหรือ? เมื่อไม่ใช่ความจริง เพราะฉะนั้น ปัญญาก็จะค่อยๆ ถึงความเข้าใจในพระพุทธพจน์แต่ละคำชัดเจนขึ้น สลดใจหรือยัง? เห็นไหม? กว่าจะถึงการที่จะถึงความสลดใจว่า ไม่มีแน่ๆ ไม่มีเลย ใครก็ไม่มี แต่ สัญญา สภาพธรรมะที่จำ ยังจำได้ เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ทั้งๆ ที่ ไม่เห็น

ทุกคนคิดถึงบ้านได้แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี ก็ยังจำว่ามี และถ้าจิตนั้นดับตายเลย บ้านมีไหม? จิตต่อไปก็ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะสัญญา ไม่ได้ไปจำสิ่งที่ในชาติก่อนมี เพราะเหตุว่า วิตักกะเป็นสภาพที่ตรึก คิดถึง แต่ขณะนั้น จำอื่น แล้วจะไปคิดถึงสิ่งที่ห่าง หรือว่า ไม่มีแล้ว ได้อย่างไร?

นี่ก็เป็นสิ่งที่เป็นความจริง ซึ่งเกิดจากการฟังแล้วไตร่ตรอง แล้วก็รู้คุณของการฟังว่า วันนั้น เราฟังเรื่องอื่น ไม่ได้ฟังเรื่องนี้ วันนี้ เราก็ฟังเรื่องเห็น ได้ยิน ฟังละเอียดขึ้นอีกหน่อยหนึ่ง ให้ค่อยๆ เข้าใจลึกซึ้งขึ้น แล้วก็มั่นคงขึ้น แล้วก็รู้ว่า ประโยชน์สูงสุดของการเกิดมาในชาตินี้ ไม่ใช่อย่างอื่นเลย ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่รูปสมบัติ ไม่ใช่บริวารสมบัติ ไม่ใช่เกียรติยศชื่อเสียง เพราะไม่มี ใช่ไหม? เพียงแค่เกิดมาแล้วหมดไปเลย ไม่เหลือเลยจริงๆ ยังหลงว่ามี

เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจความจริง ว่านี่คือ หนทางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญ เพื่อที่จะรู้ความจริง และรู้ว่า สัตว์โลก ไม่สามารถที่จะรู้อย่างนี้ได้ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง และต้องบำเพ็ญบารมีนานมาก กว่าจะถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะฉะนั้น เพียงแค่จะเป็นสาวกที่เข้าใจความจริง ท่านพระอานนท์ สะสมมาเท่าไหร่? หนึ่งแสนกัป เราฟังวันนี้เท่าไหร่? ยังไม่ถึงวัน ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น กว่าจะมีความมั่นคงได้ ก็ด้วยศรัทธา เพราะศรัทธาคือสภาพของจิตที่ผ่องใส รู้ว่าอย่างอื่นไม่มีค่า โลภะแย่มาก ลวง หลง ติด ยึด ไม่ปล่อย โทสะก็กำเริบ ปรากฏให้เห็นว่าเลวร้ายแค่ไหน และสิ่งที่ทุกคนไม่รู้เลยก็คือโมหะ ตัวต้นเหตุ ใช่ไหม? เพราะไม่รู้ จึงเต็มไปด้วยโลภะ โทสะ

เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดง ทุกคำ หาค่าประมาณไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าเงินทองซื้อไม่ได้ ไม่ว่าเงินสักเท่าไหร่ก็ซื้อความเข้าใจไม่ได้ นอกจากเป็นผู้ที่มีจิตที่ผ่องใส ขณะนั้น ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ ไม่ได้ติดข้องในสิ่งใด แต่เห็นประโยชน์ของการสามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ได้หลอกลวงเลย ปรากฏจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าเกิดแล้วดับ ไม่ได้ตั้งใจหลอกใคร สภาพธรรมะเป็นอย่างนั้น อวิชชาก็คือว่า ไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงได้ แต่ปัญญาตรงกันข้ามกับอวิชชา ฟังแล้วเข้าใจได้ ว่าอะไรถูกต้อง อะไรจริง

เมื่อรู้ว่า สิ่งใดจริง ปัญญาก็ทำหน้าที่ของปัญญา คือ รู้ว่า สิ่งใดควรที่จะสะสมให้มากขึ้น

เพราะฉะนั้น ฟัง ซ้ำไป ซ้ำมา คือ กำลังเริ่มที่จะมั่นคงขึ้น!!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณชื่นทิพย์ ไกรเดชชัยกิตติ และครอบครัว
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 20 ธ.ค. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาขอบคุณท่านผู้จัดและดำเนินการให้มีการสนทนาธรรมและคุณวันชัย ภู่งามผู้ร้อยเรียงถ่ายทอดการสนทนาธรรมในครั้งนี้ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
thilda
วันที่ 20 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 20 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
j.jim
วันที่ 21 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Noparat
วันที่ 21 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เข้าใจ
วันที่ 21 ธ.ค. 2558

ขออนุญาตจดบันทึกไว้นะครับ ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
peem
วันที่ 22 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
khampan.a
วันที่ 22 ธ.ค. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณชื่นทิพย์ ไกรเดชชัยกิตติ และครอบครัว
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ปวีร์
วันที่ 24 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 21 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 23 ก.พ. 2559

เป็นประโยชน์มากในการฟังให้เข้าใจ และน้อมจิตตั้งมั่นให้ประจักษ์แจ้ง ในสภาวธรรมที่รู้ตามความเป็นจริงในสภาวธรรมนั้นๆ ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ทุกท่านเป็นอย่างสูง ครับ สาธุ สาธุ สาธุ ครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ