ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ๗ ธันวาคม ๒๕๕๘

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  28 ธ.ค. 2558
หมายเลข  27330
อ่าน  1,893

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันจันทร์ ที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และคณะวิทยากร ได้รับเชิญจากชมรมพุทธศาสน์วังพญาไท และ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ เพื่อไปสนทนาธรรม เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ณ ห้องประชุมใหญ่ชั้น ๑๐ อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ถนนราชเทวี กรุงเทพมหานคร

มีข้อความการสนทนาธรรมที่จะขออนุญาตนำมาฝากทุกๆ ท่านเพื่อพิจารณาเช่นเคย ดังนี้ครับ

ท่านอาจารย์ ไม่ประมาทในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและในพระมหากรุณาคุณที่ทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้คนอื่นรู้และเข้าใจถูก ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย แต่เพื่อให้รู้และเข้าใจถูก รู้อะไร? และเข้าใจอะไร? รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ในขณะนี้

ซึ่งถ้าถามใครว่า ขณะนี้คืออะไร? ก็คงตอบไม่ได้ หรือว่าตอบยาก แต่ว่าคำตอบทั้งหมด จะไม่ใช่คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง

เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ไม่ประมาทเลย ในการฟังพระธรรมแต่ละคำให้เข้าใจก่อนจริงๆ รอบรู้ในคำนั้น แล้วก็ ไม่ว่าจะพบคำไหนต่อไปในตำราไหน ในพระไตรปิฎกทั้ง ๓ ไม่ว่าจะเป็นพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก หรือพระอภิธรรมปิฎก สิ่งที่ได้ฟังและเข้าใจแล้ว ต้องเป็นอย่างนั้น ไม่เปลี่ยน

เพราะฉะนั้น ขอเชิญอ่าน (คำถาม) อีกครั้งหนึ่งค่ะ

พลตรีหญิงเรณู ข้อที่ ๑ การศึกษาธรรมะที่เป็นไปตามลำดับ เป็นอย่างไร?

ท่านอาจารย์ แค่นี้นะคะ การศึกษาธรรมะ ต้องเข้าใจคำว่า "ศึกษา" เพราะไม่รู้ จึงศึกษา

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะศึกษาอะไรก็ตามทั้งหมด เพราะไม่รู้ในสิ่งนั้น จึงศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่กำลังศึกษา เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ก็แสดงอยู่แล้วว่า ไม่รู้จักธรรมะ จึงศึกษาเพื่อให้รู้ว่า ธรรมะ คือ อะไร? การศึกษาธรรมะ ก็ต้องเริ่มด้วย การรู้ว่า เพราะไม่รู้ แล้วก็ พระธรรมที่ทรงแสดงไว้ เพื่อให้รู้ ให้รู้ธรรมะ

เพราะฉะนั้น ก็ไม่ข้ามคำว่า "ธรรมะ" ธรรมะ จริงๆ แล้ว เป็นภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาที่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดงธรรมะ และดำรงคำสอนไว้ เพราะเป็นภาษาที่มีรูปแบบซึ่งไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าใครก็ตามถึงแม้ว่าจะไม่มีความรู้ในภาษาบาลี แต่ว่าได้อาศัยผู้รู้ในภาษาบาลีที่ได้แปลภาษานั้น สู่ภาษาของตน ของตน

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะศึกษาธรรมะในภาษาอะไรก็ตาม ก็ต้องเหมือนคำที่ได้ตรัสไว้แล้วในภาษามคธี ซึ่งเป็นภาษาบาลี เพราะฉะนั้น "ธรรมะ" ในภาษาไทย หมายความถึง "สิ่งที่มีจริง" ขณะนี้ กำลังมีสิ่งที่มีจริง เพราะว่า เมื่อวานนี้หมดแล้ว พรุ่งนี้หรือขณะต่อไปยังไม่มาถึง

เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เอง ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ไม่เปลี่ยนเลย ไม่ว่าอะไรที่กำลังมีขณะนี้จริงๆ เป็นธรรมะทั้งหมด

เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ว่า ศึกษาธรรมะ คือ ศึกษาให้เข้าใจถูก ให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ในขณะนี้ แค่นี้ก็ยากและลึกซึ้ง เพราะว่า ขณะนี้ อะไรจริง? ถ้าไม่เคยฟังธรรมะเลย จะตอบว่าอย่างไร? ไม่เคยฟังเลย จะตอบว่าอย่างไร? แต่เมื่อฟังแล้ว ก็ตอบได้

กำลังศึกษา สิ่งที่มีจริง แต่ต้องรู้ก่อนว่า เดี๋ยวนี้ อะไรมีจริง? จะมีคำตอบไหม? หรือว่าวิทยากรจะตอบแทน

อ.คำปั่น กราบท่านอาจารย์ครับ ถ้ากล่าวถึงว่า อะไรมีจริง ก็มีจริงอยู่ในขณะนี้ครับ "เห็น" มีจริง "ได้ยิน" มีจริง เป็นต้นครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ ทุกคนยอมรับใช่ไหม? "เห็น" มีจริง เพราะกำลังเห็น ใครบอกว่า "เห็น" ไม่มีจริงขณะนี้บ้าง? ใครบอกว่า "ได้ยิน" ไม่มีจริงขณะนี้บ้าง? แต่ไม่เคยรู้ความจริงของ "เห็น" ไม่เคยรู้ความจริงของ "ได้ยิน"

เพราะฉะนั้น ธรรมะเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง ต้องค่อยๆ ฟัง เพราะเหตุว่า พระผู้มีพระภาคฯตรัสว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา อนัตตา ไม่ใช่ อัตตา อัตตาหมายความถึง สิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เราเคยชิน คุ้นเคย โต๊ะ เก้าอี้ ดอกไม้ คน นี่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยชิน ขณะนี้ถามว่า เห็นอะไร? ก็ตอบว่า "เห็นคน" มีใครตอบว่า "เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้" บ้างไหม? ไม่มีเลย

เพราะฉะนั้น ก็แสดงว่า แม้แต่ "เห็น" ก็มีความลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ว่าในพระวินัยปิฎก ในพระสุตตันตปิฎก ในพระอภิธรรมปิฎก ก็มี "เห็น" เพราะเหตุว่า ขณะนี้ "เห็น" มีเพราะ "เกิด" ถ้าไม่เกิดขึ้น สิ่งนั้นก็ไม่มี เพราะฉะนั้น เห็นขณะนี้ ให้ทราบว่า ก่อนเห็น ไม่มีเห็นแน่นอน และเห็นเกิดขึ้น แต่ที่ไม่รู้ก็คือว่า "เห็น" เกิดขึ้นแล้วดับไป

แต่ละคำ มีความลึกซึ้งอย่างยิ่ง สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา แค่นี้ ต้องศึกษาตลอดชีวิต พราะว่า ไม่ใช่แค่พูด ไม่ใช่แค่เข้าใจคำที่ได้พูด แต่ต้อง "เข้าถึงความจริง" ของสภาพธรรมะที่กำลังปรากฏ เป็นอย่างนี้จริงๆ

เพราะฉะนั้น "เห็น" ยังไม่เกิด แล้วก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครสามารถที่จะทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย นอกจากมีปัจจัยที่เป็นที่อาศัย อุปการะ ทำให้เห็นเกิดขึ้น เห็นจึงเกิดขึ้นได้ เพราะถ้าไม่มีตา ไม่เห็น ถึงมีตา ยังไม่มีอะไรกระทบตา ก็ไม่เห็น ก็แสดงว่า แม้แต่เพียงสภาพธรรมะที่มีจริง เพียงหนึ่ง แล้วก็ปรากฏเดี๋ยวนี้ด้วย ก็ยังไม่รู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมะ คือสิ่งที่มีจริง ซึ่งต้องอาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

นี่คือคำสอนของผู้ที่ได้ตรัสรู้ความจริงว่า ขณะนี้ แต่ละหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งเดียวกันเลย เช่น "เห็น" ไม่ใช่ "ได้ยิน" ไม่ใช่ "คิด" ไม่ใช่ "จำ" ทุกอย่างที่มีจริงในชีวิตประจำวัน แต่ละขณะ เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรมะเพราะมีจริง แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย เพราะเหตุว่า ไม่ใช่ใคร แล้วก็ ไม่ใช่ของใคร และ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

ยิ่งกว่านั้น ก็คือว่า เกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่เหลือ ไม่มี ไม่กลับมาอีกเลย

เพราะฉะนั้น ก็ศึกษาธรรมะ เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ตรงตามพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคฯได้ทรงแสดง จากการที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง

เป็นประโยชน์ไหม? หรือ ไม่เอาแล้ว? (หัวเราะ) ไม่ใช่สิ่งที่เคยคิดว่าจะน่าสนใจกว่านี้ พูดถึงสิ่งที่มีธรรมดา เป็นปกติ แต่ก็ลืมว่า สิ่งที่เป็นปกตินี้แหละ ไม่มีอย่างอื่นเลย ในชีวิต กี่วัน กี่เดือน กี่ปี ก็จะต้องมี "เห็น" แล้วก็ไม่รู้ความจริง มีได้ยิน มีทุกอย่าง แล้วไม่รู้ความจริงเลย

เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคฯ ไม่ได้ทรงให้ใครทำอะไรขึ้นมารู้ แต่ทรงแสดงความจริงของสิ่งซึ่งมีอยู่ในชีวิตประจำวัน แต่ว่า ไม่เคยรู้เลย ให้เข้าใจถูกต้องว่า แต่ละหนึ่ง จากไม่มีแล้วก็เกิดมี แล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก แล้วก็ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร แล้วก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร

การฟังธรรมะ หรือการศึกษาธรรมะ เพื่อเข้าใจ ไม่ใช่ให้เชื่อ!! แต่ขณะนี้ ค่อยๆ ไตร่ตรอง พิจารณาว่า ขณะนี้ เห็นเกิดแล้วดับ แน่นอน ผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ ตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงความจริง ให้คนอื่นได้ค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้จริง ถึงความเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้

แค่สองคำ ใช่ไหม? "ศึกษา" และ "ธรรมะ"

พลตรีหญิงเรณู ทีนี้ ยังเน้นว่า "ตามลำดับ" กับไม่ตามลำดับ ข้ามลำดับ ค่ะท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ตามลำดับ คือ ศึกษาธรรมะ ตามลำดับหรือเปล่า? แล้ว "ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา" ตามลำดับหรือเปล่า?

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรมพุทธศาสน์วังพญาไทและโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ

และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
swanjariya
วันที่ 30 ธ.ค. 2558

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากรทุกท่านและท่านผู้เกี่ยวข้อง

อนุโมทนาขอบคุณสำหรับสาระจากการสนทนาธรรมและภาพประกอบที่จัดทำโดยคุณวันชัย ภู่งาม

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 30 ธ.ค. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรมพุทธศาสน์วังพญาไทและโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งามเป็นอย่างยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
wirat.k
วันที่ 30 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
nong
วันที่ 31 ธ.ค. 2558

กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ปวีร์
วันที่ 31 ธ.ค. 2558

สาธุ สาธุ สาธุ

อนุโมทนาพี่วันชัยครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 31 ธ.ค. 2558

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรมพุทธศาสน์วังพญาไทและโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งามเป็นอย่างยิ่ง
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
j.jim
วันที่ 31 ธ.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 2 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
aurasa
วันที่ 10 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลทุกท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
mon-pat
วันที่ 14 ม.ค. 2559

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
kullawat
วันที่ 29 ม.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 17 ก.พ. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ