จนกว่าจะพบกันใหม่ - วันสุดท้ายที่ไซ่ง่อน 7/1/2559
สนทนาธรรมวันสุดท้ายที่ไซ่ง่อน 7/1/2559
ไม่เคยเข้าร่วมสนทนาธรรมนอกรอบในตอนเช้าเลย ทราบมาว่า พระภิกษุเปิดตำราอภิธรรมถามท่านอาจารย์เรื่องปัจจัย ถามธรรมชั้นสูงที่ยากที่สุดเลย ถึงเข้าร่วมก็คงฟังไม่รู้เรื่อง
คนฟังยังหนาแน่นเหมือนเดิม แม้จะสนทนาธรรมติดต่อกันเป็นวันที่ 6 แล้ว คนเก่าหลายคนต้องกลับไปทำงาน แต่ก็มีคนใหม่ๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้ามาเพิ่ม ที่เวียดนามมีการสนทนาธรรมออนไลน์อาทิตย์ละ 3 วัน อาจารย์ตั้มบัคแข็งขันจริงๆ เธอมีบุคคลิกเหมาะกับเป็นอาจารย์สอนธรรม ดูนิ่ง เย็น มีเมตตา มีคุณธรรม อ่อนน้อม ไม่ยกตนข่มผู้อื่นว่ารู้มากกว่า และมีเสียงเพราะ นุ่มนวล ชัดเจน สมกับที่ได้รับสมญาว่า อาจารย์สุจินต์เวียดนาม จริงๆ
ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับการทำสมาธิ เพราะส่วนใหญ่เคยทำสมาธิแบบมหายานกันมาก่อนเป็นเวลานานหลายปี หลายคนเดินทางไกลไปประเทศต่างๆ เพื่อแสวงหาอาจารย์สอนสมาธิ ไปพม่าบ้าง ไต้หวันบ้าง อินเดีย ธิเบต ศรีลังกา จึงยากที่จะไถ่ถอนความเห็นผิดที่คิดว่า ต้องทำสมาธิเท่านั้นจึงจะรู้แจ้งในคำสอนได้ แต่เพราะอยากเข้าใจว่าที่ถูกเป็นอย่างไร จึงมานั่งฟังติดต่อกันถึง 6 วัน และถามปัญหาแง่มุมต่างๆ ถ้าไม่ใช่ท่านอาจารย์สุจินต์คงตอบยาก แต่ท่านอาจารย์มีความรอบรู้ในปริยัติและมีปฏิภาณไหวพริบ จึงตอบได้ตรงจุด ทำให้ผู้ถามและผู้ติดตามที่หลับๆ ตื่นๆ อย่างเราเข้าใจได้ แม้จะไม่ถึงขั้นหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางกับคนหลงทาง ซึ่งเป็นขั้นวิปัสสนาญาณก็ตาม
อย่างถามว่า ที่กล่าวว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา การทำสมาธิก็เป็นอนัตตาด้วย แล้วกล่าวว่าเป็นอัตตาได้อย่างไร ท่านอาจารย์ตอบว่า มีธรรมต่างกัน 2 อย่าง คือ อวิชชากับปัญญา อวิชชาไม่รู้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ปัญญารู้ตามความเป็นจริง ไปทำสมาธิรู้หรือไม่ว่า ทำด้วยอัตตาที่เลือกจะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพื่อให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ถ้าไม่เข้าใจมั่นคงในความเป็นอนัตตาก็ไม่สามารถรู้ได้
ผู้ถาม ในครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมตามจริตของผู้ฟังทำให้รู้แจ้งแริยสัจธรรมได้ ตอนนี้จะรู้ว่าใครมีจริตอย่างไร
ส. นอกจากพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีใครรู้ความคิดของคนอื่น ใครคิดถึงสิ่งใดบ่อยๆ นั่นคือจริตหรือสิ่งที่สะสมมาจนเคยชินติดข้อง บางทีก็ติดข้องในความสนุกสนานเพลิดเพลิน บางทีก็ขุ่นเคืองใจ บางทีก็สนใจฟังพระธรรม ไม่แน่นอนเปลี่ยนไปมา จึงต้องฟังธรรมให้เข้าใจว่า มีเพียงโลก 6 โลกที่ปรากฏให้รู้ได้ทีละ ๑ คือ โลกทางตา เห็นสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏให้เห็นได้ โลกทางทางหู ได้ยินเสียงต่างๆ โลกทางทางจมูก ได้กลิ่นต่างๆ โลกทางลิ้นรู้รสต่างๆ โลกทางกายกระทบสัมผัสเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว และโลกทางใจคิดนึกถึงสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏแล้ว โดยเฉพาะสิ่งที่ติดข้องต้องการ หมุนเวียนจากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง จากทางตา ไปทางหู ไปทางจมูก ไปทางลิ้น ไปทางกาย ไปทางใจ จากขณะหนึ่งไปสู่อีกขณะหนึ่ง จากวันหนึ่งไปสู่อีกวันหนึ่ง จากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่งในความมืด ด้วยความไม่รู้เหมือนอยู่ในความฝันที่เมื่อตื่นขึ้นแล้วไม่มีอะไรเลย จนกว่าจะได้ยินได้ฟังคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและเข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้วไม่มีเรา มีแต่ธรรมที่เกิดดับ เป็นอนัตตาตามที่ทรงแสดงไว้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ใช่ฟังแล้วรู้ว่า เห็นเป็นเห็นทันที ไม่ใช่เราเห็น เพราะนั่นเป็นพระปัญญาของพระพุทธเจ้าและพระสาวกที่สะสมปัญญาบารมีมามากแล้ว
ได้ยินว่า เมื่อท่านอาจารย์มาสนทนาที่เวียดนาม หลายคนก็ติดตามมาฟังและเริ่มเข้าใจ แต่เมื่อไม่มีท่านอาจารย์ก็ไปสำนักปฏิบัติเพื่อนั่งสมาธิอีก ช่างเหมือนกับสหายของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีในครั้งพุทธกาล ที่เมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้ประทับที่พระวิหารเชตวันก็พากันไปเคารพนับถือเดียรถีย์ปริพาชก คงเพราะยังไม่มีความเข้าใจมั่นคงในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ให้เดินทางสายกลาง คือ อบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่ทางสุดอีก 2 อย่าง คือ ทรมานตนให้ลำบากกับเพลิดเพลินในกามสุขจนประมาทในการอบรมเจริญปัญญา ตามที่ทรงแสดงไว้ในปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวตนสูตร
จบการสนทนาธรรมวันสุดท้ายสำหรับในไซ่ง่อน ไม่ยืดเยื้อต่อเวลาออกไปเหมือนทุกวัน เพราะหลายคนรวมทั้งอาจารย์ตั้มบัคต้องกลับภูมิลำเนาตามกำหนดเวลา แต่เมื่อจบการสนทนาแล้วก็ยังมีอีกหลายท่านมามอบของขวัญและขอถ่ายภาพกับท่านอาจารย์เป็นที่ระลึกมากมาย รวมทั้งมอบภาพขาดใหญ่ 2 ภาพ ภาพหนึ่งแม่ชีวาดเองเป็นภาพพระพุทธเจ้าใส่กรอบที่มีไฟเปลี่ยนสีได้ และอีกภาพหนึ่งใหญ่กว่ามาก เป็นผ้าปักครอสติชท์ภาพพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งใต้ต้นโพธิ์ในคืนตรัสรู้ในกรอบขนาดใหญ่ที่มีไฟประดับ ที่แม่ชีอีกคนหนึ่งทำเองเหมือนกัน เห็นแล้วหนักใจในการขนส่งมาก แต่ผู้มอบยืนยันว่าจะจัดการห่อส่งขึ้นเครื่องบินเรียบร้อย เพราะเคยถวายไปพม่าแล้ว ขออนุโมทนาในกุศลแบบหนักๆ นี้นะคะ
การสนทนาธรรมครั้งนี้มีความพร้อมมากกว่าทุกครั้ง คงเพราะทีมงานผู้แข็งขันมีประสบการณ์มากขึ้น ทราบว่ามีกองทุนในการจัดสนทนาธรรมจากผู้บริจาค ค่าห้องประชุมวันละประมาณ 10 ล้านด่อง (15,000 บาท) รวม 6 วัน มีกองทุนสำหรับค่าเดินทาง ค่าที่พักและอาหารสำหรับพระภิกษุและแม่ชี กองทุนพิมพ์หนังสือ พร้อมกับมีการถ่ายทอดสดการสนทนาออนไลน์ทั้งจากชมรมบ้านธรรมเวียดนาม และไทยที่น้องยุพินลงทุนซื้ออุปกรณ์ต่างๆ แบกไปเวียดนาม ถ่ายทอดสดโดยมีคุณมารศรีเป็นผู้ช่วย คุณเอ็ม วรศักดิ์ช่วยอยู่เมืองไทย คุณแอ๊ว ฟองจันทร์ช่วยเผยแพร่ต่อ สำหรับงานเขียน มีช่างภาพสมัครเล่นหลายคน เช่น รศ.สงบ เชื้อทอง คุณมารศรี เป็นต้น ช่วยถ่ายภาพส่งไปให้คุณวันชัย ภู่งาม ใส่ภาพประกอบเรื่อง และผู้ติดตามท่านอาจารย์ทุกท่าน คุณพี่จี๊ด ท่านนพดล รศ.สงบ คุณกฤษณา คุณเผ่าทิพย์ ที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือตามความสามารถ ขอบคุณและอนุโมทนาที่ช่วยกันเจริญกุศลด้วยการเผยแพร่พระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วโดยท่านอาจารย์ให้ผ่านไปได้ด้วยดี
ร่ำลากันแล้วก็นัดพบกันใหม่ในเดือนเมษายนที่ญาจาง และเดือนตุลาคมที่ฮานอย
See you again. จนกว่าจะพบกันใหม่ค่ะ
พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง รายงานแดดเดียวจากมุยเน่ เวียดนาม
อ่านแล้วครับ เวลาอ่านรู้สึกเหมือนกำลังฟังเสียงอาจารย์สุจินต์พูดเลยครับ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะคนรายงานเขียนเก่งหรือเปล่า!
เมื่อพระพุทธเจ้าไม่ได้ประทับที่พระวิหารเชตวันก็พากันไปเคารพนับถือเดียรถีย์ปริพาชก คงเพราะยังไม่มีความเข้าใจมั่นคงในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ให้เดินทางสายกลาง คือ อบรมเจริญปัญญา ไม่ใช่ทางสุดอีก 2 อย่าง คือ ทรมานตนให้ลำบากกับเพลิดเพลินในกามสุขจนประมาทในการอบรมเจริญปัญญา ตามที่ทรงแสดงไว้ในปฐมเทศนา ธัมมจักกัปปวตนสูตร