ไม่มีเรา เป็นธรรม ก็ไม่รู้
บางส่วนจากการสนทนาธรรมที่ราวินโฮมรีสอร์ท ต.นาหินลาด อ.ปากพลี
จ.นครนายก ๑๒-๑๔ ม.ค. ๒๕๕๙
= สถานที่ใดให้ความเข้าใจธรรม สถานที่นั้นเป็นประเทศอันสมควร
= เมื่อไหร่ที่ไม่ได้ฟังธรรม ก็ลืมธรรมที่กำลังมี
= ธรรมคือสิ่งที่มีจริงแต่ละขณะ แต่ไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ไม่มีโอกาสรู้ความจริงของธรรมได้ ถ้าไม่ได้ฟัง "มีก็เหมือนไม่มี"
= ฟังไว้ เพื่อเข้าใจขึ้น จนกว่าจะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง
= ฟังเพื่อรู้ เพื่อจะได้พ้นจากความไม่รู้
= คำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำของปัญญา เป็นคำจริง
= ไม่รู้เลยว่า โลภะเมื่อไหร่ จะละได้อย่างไร
= โลภะติดหมด เว้นแต่โลกุตตรธรรม
= ยิ่งฟังธรรม ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นความลึกซึ้ง
= ทางหลงมีมาก ต้องละสมุทัยตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ขั้นการฟัง
= ฟังไปและเข้าใจขึ้น ไม่คำนึงถึงเวลา ปัญญาทำกิจของปัญญาเอง
= กว่าปัญญาจะเกิดแทนความไม่รู้ ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป เป็นปกติในชีวิตประจำวัน
= การไม่เข้าใจในธรรม ทำให้พระธรรมอันตรธาน
= ไม่มีเรา เป็นธรรมะ ก็ไม่รู้
= โลภะมีปัจจัยก็เกิด ปัญญามีปัจจัยก็เกิด อยากจะให้ปัญญาเกิด และห้ามไม่ให้โลภะเกิดก็ไม่ได้ แต่ปัญญาที่อบรมแล้ว จะเข้าใจด้วยปัญญาของตนเองว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา จนกว่าโลภะจะหมด
= โลภะทำให้อยู่ในสังสารวัฏฏ์มานานแสนนาน และจะอยู่ต่อไปไม่สิ้นสุด ถ้าไม่มีความเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า ละได้ด้วยการฟังธรรมซ้ำบ่อยๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ ละคลายตามลำดับขั้น
= เพราะไม่รู้จึงติดข้อง ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเที่ยง เป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมเป็นเรื่องละตั้งแต่ต้น รู้ว่าสภาพธรรมที่ติดข้องมีจริง อะไรก็ละไม่ได้นอกจากปัญญา
= การฟังอย่างอื่นไม่มีค่าเท่ากับการฟังพระธรรมที่ทำให้เข้าใจความจริงว่า ไม่มีเรา เป็นเพียงธรรมแต่ละหนึ่ง
= ฟังธรรมมั่นคง มีความเข้าใจขึ้น จนกว่าอัตตสัญญาจะเป็นอนัตตสัญญา
= โลภะคือนายช่างเรือน อวิชชาเป็นยอดเรือน เมื่อละโลภะได้ ก็ละอวิชชาด้วย โลภะปรากฏ แต่ไม่รู้ เมื่อรู้ ก็ละความติดข้องได้ "ถ้าไม่รู้ ก็ละโลภะไม่ได้"
= ติดอะไรกับสิ่งที่หมดไป ไม่มีให้ติดก็ติด ฉลาดหรือเปล่า ดับแล้วไม่กลับมาอีก ยังชอบไหมกับสิ่งที่ไม่เหลือ ไม่มีที่จะให้เหมือนเดิม เพราะดับหมดไม่เหลือเลย
= อ.วิชัย : ถ้ารู้ตามความเป็นจริง ก็ละความพอใจ แต่ความทรงจำยังจำไว้ว่ามี
ท่านอ. : แต่ก็รู้ว่าจำไม่ใช่เรา
= เพราะไม่รู้ว่าดับ จึงเป็นเราอยู่เรื่อยๆ แต่ปัญญาสามารถรู้ได้ว่า ขณะนั้นเกิดแล้วดับ
= ความไม่รู้เป็นปัจจัยให้เกิดการฟังได้ เพราะไม่รู้จึงฟัง เพื่อจะได้เข้าใจ
= ไม่มีใครละอกุศลได้ นอกจากปัญญาที่เกิดจากความเห็นที่ถูกต้อง
= อีกชื่อของปัญญา คือ อโลภะ อโทสะ อโมหะ
= หลงอยู่ในสังสารวัฏฏ์มานานแสนนาน และจะหลงต่อไปอีกแสนนาน เพราะไม่รู้ จะออกไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะไม่หลงได้เมื่อเข้าใจธรรม
= พระธรรมทำให้อาจหาญ ร่าเริงในความเข้าใจถูกว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา
= เพราะไม่รู้ว่าธรรมเกิดดับ จึงคิดว่าเที่ยง หลงยึดถือติดข้อง พอใจในสิ่งที่ไม่มี
= ต้องเป็นผู้ที่ระวังกับดักของโลภะ อยากมีปัญญาไหม กับดักอยู่ไหน เพียงแค่ลืมตา โลภะก็มาแล้ว จะละโลภะได้อย่างไร ถ้าไม่รู้ความจริง
= ทุกขณะที่ยินดีพอใจ ก็อยู่ในห้วงของโอฆะ จมลงไปเรื่อยๆ จมลงไปในห้วงของความติดข้องซึ่งกว้างใหญ่ ยากจะข้ามไปอีกฝั่งที่ไม่มีกิเลสได้ นอกจากมีความเข้าใจถูกเห็นถูก
= หยดพระธรรมคำสอนลงในจิต ดีกว่าหยดเทียนลงน้ำในบาตร (น้ำมนต์)
= ความเห็นผิด นำไปสู่การปฏิบัติผิดทั้งหมด
= สวดมนต์ข้ามปีกับฟังธรรมตลอดเวลา อะไรดีกว่ากัน
= เพราะรักตัว จึงหาทุกสิ่งทุกอย่างให้ตัว รดน้ำมนต์แล้วทำชั่ว มีประโยชน์ไหม
= พระธรรมยาก ลึกซึ้ง กว่าจะเข้าใจแต่ละคำ เข้าใจจริงๆ หรือแค่เข้าใจคำ ต้องเริ่มต้นเห็นคุณที่จะเข้าใจพระธรรมแต่ละคำจริงๆ อย่างถ่องแท้ ไม่ประมาท ศึกษาด้วยความเคารพ มีเหตุผลและเป็นผู้ตรง ทรงบำเพ็ญพระบารมีสี่อสงไขยแสนกัปป์ เพื่อให้สัตว์โลกเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ให้เกิดปัญญาความเห็นถูกของตนเอง ไม่ใช่ให้ท่องจำพระไตรปิฏก ปัญญารู้อะไร จะฟังคำจริงของพระพุทธเจ้า หรือฟังคำของใคร
อนุโมทนาในคุณความดีและกราบบูชาคุณท่านอ. สุจินต์ บริหารวนเขตต์
อนุโมทนาเจ้าภาพ คุณแก้วตา เอนกพุฒิ
อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ