ความเป็นอนัตตากับความว่างเหมือนกันมั้ยคะ

 
jivabkk
วันที่  31 ม.ค. 2559
หมายเลข  27414
อ่าน  1,890

ขอสอบถามค่ะ ก่อนจะมาฟังบ้านธัมมะดิฉันเคยอ่านหนังสือธรรมะทั่วไปที่เขาพูดถึงเรื่องความว่างว่าหมายถึงความไม่มีตัวตน แล้วก็บอกอีกว่าการที่เราเรียนรู้มากๆ จะทำให้จิตไม่ว่างการเรียนมากอ่านมากจะทำให้มีตัวตนมากเพราะคิดมากจึงจิตไม่ว่าง เคยอ่านเจอมานานแล้วแต่ยังไม่เข้าใจสักทีค่ะ อยากขออาจารย์ช่วยแนะนำทีน่ะค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 31 ม.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ว่างจริงๆ หมายถึง การว่างจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน หรือ สูญจากการมีสัตว์ บุคคล ตัวตน เพราะมีแต่ธรรม ไม่มีเราไม่มีสัตว์ บุคคลเลย ครับ แต่ไม่ใช่หมายถึง ว่างไม่มีอะไร เพราะมีธรรม ครับ และเป็นอนัตตาด้วย คือไม่ใช่สัตว์ บุคคล ไม่ใช่เรา

เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ครับ

อะไรเล่าว่างเปล่าจากตน หรือจากของของตน

ท่านอาจารย์สุจินต์ ตอบได้ใช่ไหมคะ ตอนนี้เหมือนเมื่อกี้ค่ะ เหมือนในปโลกสูตร

จักขุแลว่างเปล่าจากตน หรือจากของของตน รูปว่างเปล่าจากตน หรือจากของของตน จักขุวิญญาณว่างเปล่าจากตน หรือจากของของตน จักขุสัมผัสว่างเปล่าจากตน หรือจากของของตน สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะจักขุสัมผัสเป็นปัจจัย ก็ว่างเปล่าจากตน หรือจากของของตน ฯลฯ ทางใจ คือ ใจว่างเปล่าจากตน หรือจากของของตน ธรรมารมณ์ว่างเปล่าจากตน หรือจากของของตน มโนวิญญาณว่างเปล่าจากตน หรือจากของของตน มโนสัมผัสว่างเปล่าจากตน หรือจากของของตน สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะมโนสมผัสเป็นปัจจัย ก็ว่างเปล่าจากตนหรือจากของของตน

ดูกรอานนท์ เพราะว่างเปล่าจากตน หรือจากของของตน ฉะนั้น จึงเรียกว่า โลกว่างเปล่า

ไม่ใช่ว่าไม่รู้อะไร แล้วก็ว่างแล้ว โดยที่ไม่รู้อะไรเลย ว่าอะไรว่าง ว่างอย่างไร แต่จะต้องรู้ตามความเป็นจริงว่า ที่ว่างจากตน หรือว่างจากความเป็นของของตน คือ ของเรา ก็เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ละอย่าง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 1 ก.พ. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เป็นคำสอนที่เป็นไปเพื่อปัญญาโดยตลอด เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ ซึ่งมีแล้ว แต่ไม่รู้ เป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน และสภาพธรรมแต่ละอย่างนั้น ก็ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนสัตว์บุคคล ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนแทรกอยู่ในสภาพธรรมเหล่านั้นเลย ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีใครสามารถทำอะไรให้เกิดขึ้นได้เลย ทุกขณะเป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เพราะฉะนั้น เวลาที่กล่าวถึงอนัตตา ก็คือ สิ่งที่มีจริงๆ แต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เช่น ความโกรธ เป็นอย่างหนึ่ง ความติดข้องยินดีพอใจ เป็นอย่างหนึ่ง ศรัทธาเป็นอย่างหนึ่ง ความละอาย เป็นอย่างหนึ่ง ความเข้าใจถูกเห็นถูกเป็นอย่างหนึ่ง ความจำ เป็นอย่างหนึ่ง รูปแต่ละรูป เป็นแต่ละหนึ่ง เป็นต้น เป็นธรรม แต่ละหนึ่งๆ เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตนสัตว์บุคคลอย่างสิ้นเชิง ซึ่งผู้ที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้ ต้องมีปัญญา แล้วปัญญาจะมาจากไหน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
peem
วันที่ 1 ก.พ. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 1 ก.พ. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
jivabkk
วันที่ 2 ก.พ. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 2 ก.พ. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
nong
วันที่ 10 ก.พ. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 18 ธ.ค. 2563

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ