เรื่อง อาการที่ทำโดยไม่รู้ตัว

 
ํํญาณินทร์
วันที่  22 ก.พ. 2559
หมายเลข  27475
อ่าน  828

วันนี้ผมอยากจะเรียนถามท่าน อาจารย์ ที่เกิดขึ้นกับจิตเรา เช่นเราเดินก็รู้ว่าเดิน นั่งก็รู้ว่านั่ง นอนก็รู้ว่านอน แต่รู้ด้วยขั้นความรู้สึก แต่มีสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ สติปัฏฐาน แต่พอเรานอนหลับไปนั้นหลับแล้วนะครับ ตอนเราพลิกตัวไปมา ร่างกายเราทำได้เพราะอะไรเป็นเหตุสั่งให้ทำ ใช่จิตหรือเปล่า หรือมีสภาวธรรมอันใดเป็นเหตุ และเรียกลักษณะของจิตตอนนั้นว่าเกิดพร้อมกับเจตสิกดวงไหนครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 22 ก.พ. 2559

ขณะที่หลับสนิท จะไม่มีการเคลื่อนไหวกายที่เกิดจากจิต แต่ ขณะที่เคลื่อนไหวกาย ที่เกิดจากจิต ก็คือ ขณะนั้นก็มีจิตที่เป็นวิถีจิต ที่เป็นอกุศลจิต กุศลจิตสลับได้ ทำให้เคลื่อนไหวกายได้ เพราะฉะนั้น จิตเกิดดับสลับกันอย่างรวดเร็ว ไม่ได้หมายความว่า จะเกิด ภวังคจิตตลอดเวลา คือ หลับตลอดเวลา ก็มีวิถีจิตเกิดสลับได้ เช่น ขณะฝัน ก็คือ ขณะที่ไม่หลับ ก็ทำให้เคลื่อนไหวกายที่เกิดจากจิตได้เป็นธรรมดา จิตไม่มีหน้าที่สั่ง แต่มีหน้าที่รู้อารมณ์เท่านั้น การเคลื่อนไหวได้ เช่น ต้องการไปหยิบอะไรซักอย่าง เพราะอาศัยจิต เกิดธาตุลมไหวไป แต่จิตไม่ได้สั่งอะไร และที่สำคัญ รูปจะรับรู้คำสั่งของจิตได้ไหม เพราะรูปเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร ใครจะสั่งรูปได้ เพราะรูปไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้น จิตทำหน้าที่รู้อารมณ์เท่านั้น และที่มีการเคลื่อนไหวไปเพราะอาศัยเหตุปัจจัยต่างๆ ประชุมรวมกัน จึงมีการเคลื่อนไหว ไม่มีใคร ไม่มีจิตที่จะสั่งครับ ขณะที่เกิด ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น รูปเกิดพร้อมกับปฏิสนธิจิตแล้ว สั่งทันไหม เพราะเกิดพร้อมกับจิตในขณะอุปาทขณะแล้วครับ ส่วนรูปเกิดเพราะจิตได้ ด้วยความเป็นจิตชชรูปเพราะอาศัยจิตเป็นสมุฏฐาน แต่ไม่ใช่จิตสั่ง นะครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 22 ก.พ. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สิ่งที่มีจริงๆ คือ สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่ว่าพ้นไปจากสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และ ใจ นั้น เป็นที่ตั้งให้สติปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้ตามความเป็นจริงได้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ได้ ซึ่งจะต้องอาศัยเหตุที่สำคัญ คือ การฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ จนมั่นคงจริงๆ เพราะระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง นั้น ไม่ใช่เพียงคำพูด แต่เป็นการที่ไม่ว่าจะสภาพธรรมที่เกิดปรากฏ ก็สามารถรู้ตามความเป็นจริง ไม่ผิด ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เพราะสะสมความไม่รู้มานานแสนนาน จึงต้องไม่ขาดการฟังพระธรรม ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย จริงๆ และเมื่อศึกษาพระธรรม ก็พอที่จะเข้าใจได้ว่า ขณะที่มีการรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ก็ต้องเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ไม่ใช่ในขณะที่หลับสนิท เพราะขณะที่หลับสนิท กุศล หรือ อกุศล เกิดไม่ได้ ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Nitchare
วันที่ 23 ก.พ. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 24 ก.พ. 2559

เป็นความรู้ที่ต้องทำความเข้าใจอย่างละเอียด และน้อมเข้าหาสภาวะที่ปรากฏให้เข้าใจตามความเป็นจริง ในปรมัตถ์ธรรมนั้นๆ กราบขอบพระคุณในความรู้นี้ครับ และขออนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 24 ก.พ. 2559

สิ่งที่มีค่าที่สุดคือการฟังธรรมแล้วเริ่มเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นธรรมไม่ใช่เราค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wirat.k
วันที่ 27 ก.พ. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ