พระภิกษุในพระธรรมวินัย

 
nattawan
วันที่  26 ก.พ. 2559
หมายเลข  27497
อ่าน  1,639

ข้อความบางส่วนจากการสนทนาธรรมที่บ้านคุณปริญญา สีดาโสม อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี วันที่ ๒๓ - ๒๕ ก.พ. ๒๕๕๙

# ขณะใดที่เข้าใจ ขณะนั้นละความไม่รู้

# กิเลส สิ่งไม่ดีงามเป็นอกุศล สามารถดับได้ ผู้รู้หนทางคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ ทรงแสดงหนทางให้เข้าใจสภาพธรรมขึ้น จนสามารถดับกิเลสได้

# ให้เงินพระภิกษุเป็นบุญไหม ประเทศไทยเป็นประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจริงหรือเปล่า

# เวลาที่ไม่รู้ ก็ทำสิ่งที่ไม่รู้ เมื่อรู้แล้ว จะทำอีกหรือเปล่า เป็นหน้าที่ของชาวพุทธที่จะต้องดำรงรักษาพระพุทธศาสนา มิฉะนั้นคำสอนต่างๆ ที่ถูกต้องดีงามก็จะเสื่อมไปและไม่กลัวที่จะเผยแพร่สิ่งที่ถูกต้อง ผิดหรือที่จะพูดความจริง

# ปัญญาเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐ เข้าใจความจริงและรู้ได้ทุกอย่าง เป็นอริยทรัพย์ที่นำมาซึ่งสิ่งที่ปลื้มใจสูงสุดคือ การดับกิเลส

# มีกิเลสยังไม่รู้เลย แล้วจะไปรู้สิ่งที่ดับกิเลสได้อย่างไร เพราะไม่รู้ละไม่ได้ มีใครอยากไปนิพพานบ้าง ยังไม่รู้จักเลยว่านิพพานคืออะไร นิพพานเป็นธรรมที่ไม่เกิดดับ มีจริง พ้นจากกิเลส ต้องฟังธรรมให้เข้าใจ ปัญญาเท่านั้นดับกิเลสได้

# ภิกษุคือผู้ออกบวช สละทั้งหมดเพื่อขัดเกลากิเลส เป็นผู้เห็นโทษของการอยู่ครองเรือน ซึ่งเต็มไปด้วยกิเลส (เสียงยังไม่ดับเลย กิเลสเกิดแล้ว ความสำคัญตน ความรักตน ความเห็นผิดทั้งหมด เกิดเพราะไม่รู้)

# อุบาสก อุบาสิกา คือผู้เข้าใกล้พระศาสนา เพื่อฟังพระธรรม เห็นประโยชน์และประพฤติตาม

# ภิกษุที่เห็นแก่เงินทอง ก็ไม่ต่างจากคฤหัสถ์ เพราะได้สละแล้วทุกอย่างเมื่อออกบวช

# พระวินัยงามพร้อมทั้งกายและวาจา ไม่ผิดกฏหมายเลยทั้งสิ้น

# พระภิกษุต้องรู้และปฏิบัติตามพระวินัย ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็อาบัติ ผิดพระวินัยและยังผิดกฏหมายด้วย

# อุบาสก อุบาสิกา ควรเพ่งโทษ ติเตียนด้วยกุศลจิตต่อภิกษุผู้ทำผิดพระวินัย เพื่อดำรงรักษาพระพุทธศาสนา

# พระภิกษุคือบุคคลที่อยู่อีกโลกหนึ่งที่สงบยิ่ง เพื่อขัดเกลากิเลส ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ต้องขัดเกลายิ่งกว่าคฤหัสถ์

# พระภิกษุไม่สามารถเรียกร้องสิ่งอื่นนอกจากปัจจัย ๔ ที่คฤหัสถ์ถวาย เพราะเป็นผู้สละแล้วทุกอย่างเมื่อออกบวช ภิกษุที่ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็ไม่ใช่พระภิกษุในพระธรรมวินัย

# วิธีที่จะให้พระภิกษุสำนึกตนเมื่อทำผิดพระวินัยคือ ไม่ทำความเคารพและไม่ถวายปัจจัย ๔

# ปฏิบัติคืออะไร ไม่รู้อะไรแล้วปฏิบัติ ไม่มีประโยชน์และไร้สาระ เพราะไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูก

# คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละคำแสดงถึงสิ่งที่มีจริงขณะนี้

# ไม่มีเวลาฟังพระธรรมเท่ากับไม่มีเวลารู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้จักได้อย่างไรถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา"

# ดีเท่าไรก็ยังไม่พอ เพราะยังไม่รู้ความจริง ยังเป็นเราดี แล้วเราอยู่ไหน มีเราจริงๆ หรือเปล่า เป็นเราในชาตินี้ จากชาตินี้ไปแล้ว ชาติหน้าเราอยู่ไหน

# เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว ดีขึ้นเพราะเข้าใจขึ้นหรือดีขึ้นและไม่เข้าใจเหมือนเดิม

# ทุกครั้งที่มีการฟังธรรม เป็นการบูชาอย่างสูงสุดของผู้ที่เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อฟังธรรมเข้าใจแล้วเผยแพร่ให่ผู้อื่นได้เข้าใจถูกด้วย และกล้าที่จะพูดตักเตือนด้วยความเป็นมิตร หวังดีให้สิ่งที่จริงที่ถูกต้อง เมื่อมีผู้เข้าใจผิดหรือปฏิบัติผิด เพื่อดำรงรักษาพระพุทธศาสนาเพื่อประโยชน์สุขของคนอื่นต่อไป ไม่ใช่เอาตัวรอดและเมินเฉยต่อพุทธบริษัทอื่น

# ไม่เข้าใจแล้วไปปฏิบัติ เป็นความไม่รู้ที่ปฏิบัติ

# เป็นผู้ตรงที่สุด เมื่อปัญญารู้ความจริง

# พระธรรมไม่ผิด พระธรรมตรง ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดยิ่งเป็นพระอภิธรรม ละเอียดลึกซึ้งยิ่งกว่าทุกวิชาในจักรวาล

# กล่าวว่านับถือพุทธไม่ได้ ถ้าไม่ได้ศึกษาและเข้าใจคำสอน

# พระภิกษุเป็นหัวหน้าของพุทธบริษัท เพราะฉะนั้น หัวหน้าต้องไม่ใช่โจร

# ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเป็นผู้สร้างพระเชตวัน ไม่ใช่ภิกษุเป็นผู้สร้างวัด ภิกษุที่สร้างวัดนั้นทำกิจใดในพระพุทธศาสนา

# สมบัติที่พระภิกษุมีได้ ๘ อย่าง คือ สบง จีวร สังฆาฏิ บาตร ผ้าประคตเอว ที่กรองน้ำ มีดโกน และเข็ม พอไหม ผู้ที่พอคือผู้ที่มีอัธยาศัยที่จะดับกิเลส

# บุญที่ทำไว้แต่ปางก่อน ทำให้ได้ฟังธรรม เห็นประโยชน์ของพระธรรม มีความเข้าใจเป็นของตนเอง

# สิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือความจริง คำจริงที่ทำให้เข้าใจความจริงถึงที่สุดคือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงคำเดียวที่เป็นคำจริงมีค่ามากกว่าหลายๆ คำที่ไม่จริง

# ธรรมคือสิ่งที่มีจริง แค่ฟังไม่พอ ต้องฟังต่อไปอีกจนกว่าจะเข้าใจขึ้นๆ ซึ่งต้องใช้เวลานานมาก ต้องอดทนฟังจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ สภาพธรรมปรากฏอย่างที่เคยฟัง

# ขณะที่ฟังว่าธรรมคืออะไรและเข้าใจมั่นคงไม่เปลี่ยน รอบรู้ว่าไม่ใช่อื่นนอกจากสิ่งที่มีจริงเป็นสัจญาณ มั่นคงในความจริงของสิ่งที่มีจริง เป็นธรรม เป็นอนัตตา คือ "ปริยัติ" รอบรู้ในพระพุทธพจน์ "ปฏิบัติ" รู้ว่าสิ่งที่ถูกเห็นไม่ใช่เห็น รู้และเข้าใจจริงๆ ของสิ่งที่มีจริง เข้าใจแม้เห็นที่กำลังเห็น "ปฏิเวธ" การประจักษ์แจ้ง

# แข็งรู้อะไรไหม พูดได้ไหม แข็งเป็นอะไร ที่ตัวมีแข็งไหม (ทุกคนอดคิดไม่ได้จากที่เคยคิดเพราะไม่รู้ ทำให้กั้นความเข้าใจของสิ่งที่ได้ฟังใหม่) มี แต่แข็งที่ตัวเป็นแข็งหรือเป็นนิ้ว เป็นแข็ง ไม่ใช่นิ้ว ไม่ใช่เรา แข็งมีจริงๆ (พูดถึงความจริงตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ไม่ใช่คิดเหมือนที่เคยคิด) เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เปลี่ยนแข็งเป็นหวานไม่ได้ สิ่งที่มีจริงแท้มีลักษณะของตนๆ ไม่เปลี่ยน ไม่ปะปนกัน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เกิดและดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย และเป็นอนัตตา แม้ไม่เรียกชื่อก็มีแข็งจริงๆ พิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้ เพราะเกิดแล้วดับแล้ว ไม่มีใครยับยั้งได้

# กล่าวว่าพระธรรมยากมาก เป็นการสรรเสริญพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

อนุโมทนาในคุณความดีและกราบบูชาคุณท่าน อ. สุจินต์ บริหารวนเขตต์

อนุโมทนาเจ้าภาพคุณปริญญา สีดาโสมและภรรยา

อนุโมทนาในกุศลจิตของทกท่านค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
khampan.a
วันที่ 26 ก.พ. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
Nitchare
วันที่ 27 ก.พ. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 28 ก.พ. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 4 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
เมตตา
วันที่ 13 มี.ค. 2559

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
athisamai
วันที่ 9 พ.ค. 2559

ยินดีในบุญและขอบคุณครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
kemuta
วันที่ 26 ก.พ. 2560

สาธุบุญครับ

ข้อความมีประโยชน์

ขออนุญาตินำความรู้ไปแชร์ในเพจ ของวัดนะครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
nattawan
วันที่ 7 ส.ค. 2567

ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ