คำจำกัดความของนิพพานเป็นนิพพานตาย

 
f_aom
วันที่  3 มี.ค. 2559
หมายเลข  27515
อ่าน  1,886

ขอทราบคำจำกัดความของคำทั้งสองครับผม


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 3 มี.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

นิพพาน เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม เป็นสภาพธรรมที่สงบ ระงับ เย็นสนิท ไม่มีนิพพานเป็น และ นิพพานตาย มีแต่ นิพพานมีสองอย่าง คือ สอุปาทิเสสนิพพาน และ อนุปาทิเสสนิพพาน

สอุปาทิเสสนิพพาน คือ พระอรหันต์ที่ประจักษ์พระนิพพาน และถึงการดับกิเลส ดังนั้น ทั้ง พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระสาวกที่เป็นพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ใช้คำว่า นิพพาน ทั้งสิ้น แต่เป็นนิพพาน ที่ดับกิเลสหมดแล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่ครับ แต่สําหรับ พระนิพพานนี้ ยังไม่ใช่ ปรินิพพาน คือ การดับรอบสนิทซึ่งสภาพธรรมทุกอย่าง

อนุปาทิเสสนิพพาน คือ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกกพุทธเจ้า พระสาวก ผู้เป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมดแล้ว สิ้นชีวิต เมื่อจุติจิตเกิด ก็ไม่มีการเกิดขึ้นของขันธ์ ของสภาพธรรม ใดๆ ทั้งสิ้น จึงชื่อว่า ดับรอบในสภาพธรรมทุกอย่าง จึงเรียกว่า ปรินิพพาน

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 3 มี.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง แสดงถึงความเป็นจริงทั้งหมด เมื่อกล่าวถึงธรรมแล้ว ไม่พ้นไปจากนามธรรม และ รูปธรรม, สภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่นามธรรมก็เป็นรูปธรรมทั้งหมด นามธรรม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ นามธรรมที่รู้อารมณ์ได้แก่ จิต และ เจตสิก และนามธรรมที่ไม่รู้อารมณ์ ได้แก่ พระนิพพาน ที่เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ แต่มีจริง พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้ และ ท่านเหล่านั้นก็รู้ได้ด้วยตนเองว่าท่านได้ประจักษ์แจ้งพระินิพพาน

การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่า่งๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลจริงๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคล ได้

สำหรับพระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ พระอรหันต์ เมื่อดับกิเลสหมดแล้วไม่มีกิเลสใดๆ เกิดขึ้นอีกเลย แต่ก็ยังมีสภาพธรรม กล่าวคือ จิต เจตสิก (ที่ไม่เป็นไปกับด้วยกิเลส) และ รูป เกิดขึ้นเป็นไป ยังมีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ยังมีการได้รับผลของกรรม ยังมีความเกิดขึ้นแห่งจิตที่ดีงามในการทำประโยชน์เกื้อกูลแก่บุคคลอื่น เป็นต้น ซึ่งก็ยังเป็นการเกิดดับสืบต่อกันของสภาพธรรม ยังมีสภาพธรรมเป็นไปอยู่ จนกว่าท่านจะดับขันธปรินิพพาน เมื่อนั้นท่านจึงจะไม่มีการเกิดอีกในสังสารวัฏฏ์ ไม่มีจิต เจตสิก และ รูป เกิดขึนอีกเลย จึงเป็นผู้สิ้นทุกข์โดยประการทั้งปวง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 3 มี.ค. 2559

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
peem
วันที่ 3 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 4 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
chatchai.k
วันที่ 11 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ