เป็นไปตามการสะสม ตามพฤติกรรมที่เป็นไป อุปนิสสยปัจจัย หมายความว่าอย่างไรคะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
จิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม สะสมทั้งฝ่ายดีทีเป็นกุศลและ สะสมธรรมฝ่ายไม่ดี ที่เป็นอกุศล ทำให้มีอุปนิสัยที่ดีหรือไม่ดี ตามการสะสมของกุศลหรือ อกุศลครับดังนั้นขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้น จิตสะสมแล้ว สะสมธรรมฝ่ายดี คือ สะสมเป็นผู้มีอุปนิสัยที่ดี เช่น ขณะที่ให้ทาน ก็สะสมแล้ว สะสมที่จะเป็นผู้มีอุปนิสัยในการให้ทานมากขึ้นนั่นเอง ขณะที่โกรธ จิตที่เป็นโทสะเกิดขึ้น สะสมแล้ว สะสมให้มีอุปนิสัยโกรธเพิ่มขึ้นครับ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในชาตินี้แต่ละคนมีอุปนิสัยต่างๆ กันเพราะสะสะมมาไม่เหมือนกัน แต่ก็ไม่พ้นจากการสะสมของจิตที่เป็นกุศลที่เกิดบ้างและอกุศลที่เกิดบ้างครับ แต่ละคนก็เคยมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน สะสมมาทุกอย่างทั้งที่เป็นกุศล และ อกุศลเราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอดีตที่ผ่านไปแล้วได้ ที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป แต่ปัจจุบันนี้ ขณะนี้ สำคัญที่สุดที่จะสะสมเหตุที่ดี สะสมอุปนิสัยที่ดี ซึ่งก็คือ กุศลธรรมประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ต่อไป ถ้าไม่สะสมอุปนิสัยที่ดีบ่อยๆ เนืองๆ ก็ย่อมจะเป็นโอกาสของความชั่วที่พร้อมจะเกิดขึ้นครอบงำจิตใจอยู่ตลอดเวลา จนยากที่จะแก้ไขได้ และอาจจะตายไปพร้อมกับความไม่รู้ก็เป็นได้ เป็นการสะสมแต่สิ่งที่ไม่ดี และจะเป็นปัจจัยให้สิ่งที่ไม่ดี มีมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว จึงควรอย่างยิ่งที่จะสะสมแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปตามลำดับ ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้นที่จะเกื้อกูลให้ชีวิตดำเินินไปในทางที่ถูกที่ควรมากยิ่งขึ้นและเป็นที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง.
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรื่องการสะสม นั้น สะสมทั้งส่วนที่ดี และ ไม่ดี ซึ่งจะไม่ปะปนกันเลย ดีคือดี ไม่ดี คือ ไม่ดี ซึ่งจะสังเกตได้ว่าเวลาที่แต่ละบุคคลเกิดในภพนี้ชาตินี้ มีสิ่งที่ติดมาแล้วคืออุปนิสัยที่เคยได้สะสมมาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์ เกิดใหม่ๆ ดูเหมือนจะเหมือนกันด้วยกันทั้งนั้น แต่พอโตขึ้นๆ ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ตามการสะสมของแต่ละบุคคลจริงๆ อกุศลในขณะนี้เกิดขึ้นเพราะเคยได้สะสมอกุศลมาแล้วในอดีต ในทางตรงกันข้าม กุศลที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เกิดขึ้นได้เพราะเคยได้สะสมกุศลมาแล้ว การสะสมเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้เลยทีเดียว
ขอยกตัวอย่างบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุดในโลก คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ต้องสะสมบารมี สะสมความดีประการต่างๆ เป็นระยะเวลาที่ยาวนานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ จนกว่าจะสมบูรณ์บริบูรณทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในทางตรงกันข้าม กับอีกบุคคลหนึ่ง คือ ท่านพระเทวทัต เกิดในกาลสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา แต่เพราะสะสมมาไม่ดี จึงเกิดความริษยา ประทุษร้ายได้แม้กระทั่งต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้กระทำอกุศลกรรมประการต่างๆ มากมาย เป็นเหตุให้ตนเองไปเกิดในอเวจีมหานรก ซึ่งตอนที่ท่านเกิดมา ท่านก็ไม่รู้ว่าท่านจะเป็นอย่างนี้ แต่ก็เป็นไปแล้วตามการสะสม จึงเป็นเครื่องเตือนใจที่ดีเป็นอย่างยิ่ง พระอริยบุคคลทั้งหลายในอดีต ก่อนที่ท่านเหล่านั้นจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอริยบุคคลได้นั้น ท่านก็จะต้องเป็นผู้ได้สะสมอุปนิสัยที่ดี ได้สดับตรับฟังพระธรรม สะสมปัญญามาเป็นเวลาอันยาวนาน ด้วยกันทั้งนั้น ข้อนี้ก็เป็นเครื่องเตือนใจที่ดี สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม โดยเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม ว่า ไม่ควรที่จะท้อถอย ยิ่งยากก็ยิ่งจะต้องศึกษา เพราะปัญญาไม่สามารถจะเจริญขึ้นได้ภายในระยะเวลาอันสั้น ต้องค่อยๆ ฟังค่อยๆ ศึกษาไปตามลำดับ เพียงแค่วันนี้ พรุ่งนี้ หรือ ชาตินี้ ยังไม่พอ ต้องสะสมความเข้าใจต่อไปอีกเป็นเวลาอันยาวนาน (จิรกาลภาวนา) ซึ่งมีข้ออุปมาเหมือนการจับด้ามมีด เมื่อจับบ่อยๆ นานๆ รอยสึกย่อมปรากฏได้ ปัญญาก็เช่นกัน ต้องอาศัยกาลเวลาอันยาวนานในการสะสม ในการอบรม จึงจะเจริญขึ้นได้ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาต่อไป ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...