ในการบวช เราสามารถบวชกี่วันก็ได้ใช่ไหม ครับ แล้วแต่จิตใจ

 
ohmmiiz0002
วันที่  12 มี.ค. 2559
หมายเลข  27553
อ่าน  1,379

คือผมอยากบวช สัก 3 วันครับ เพราะมีธุรกิจที่ต้องทำต่อ รู้นะครับว่ามันน้อยมาก / แต่พ่อแม่ก็ไม่ได้บังคับนะครับว่า เท่านั้นเท่านี้ แล้วแต่จิตใจเรา ......ผมอยากได้คำแนะนำ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 12 มี.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

คำว่า “บวช” เป็นคำที่คนไทยนิยมใช้ มาจากภาษาบาลี “ปพฺพชฺชา” ซึ่งหมายถึงบรรพชา มีรากศัพท์มาจาก ป (ปะ) แปลว่า ทั่ว และ วช (วะชะ) แปลว่า เว้น มาเป็นคำว่า “บรรพชา” แล้วกลายมาเป็นคำว่า “บวช” ในที่สุด คำว่า “ปพฺพชฺชา” หรือ “บรรพชา” แปลว่า เว้นทั่ว หมายถึง การงดเว้นจากความชั่วทั้งปวง หรือ หมายถึง ออกไป คือ ออกไปจากธุระการงานทุกประเภทของคฤหัสถ์ ผู้ที่ถือบวชในพุทธศาสนา จะได้นามว่า พระบ้าง ภิกษุบ้าง บรรพชิตบ้าง
ในปัจจุบันคำว่า “การบวช” ที่เราพูดกันนั้น มิได้หมายเอาเฉพาะความหมายที่ตรงกับคำว่า “บรรพชา” เท่านั้น แต่หมายถึงคำว่า “อุปสมบท” ด้วย เพราะตามความหมายเดิม บรรพชา หมายถึง การบวชเป็นสามเณรเท่านั้น ดังนั้น คำว่า “บวช” จึงใช้เป็นคำกลางๆ หากต้องการจะสื่อสารให้รู้ว่าบวชเป็นอะไรก็เพิ่มคำใหม่ต่อท้าย เช่น บวชเณร บวชพระ บวชชี เป็นต้น
บวช คือ การสละเพศคฤหัสถ์สู่ความเป็นเพศบรรพชิต บวชเพื่ออะไร การบวชเพราะบุคคลนั้นมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา และที่สำคัญ เป็นผู้เห็นโทษ ในการครองเรือนจริงๆ จึงเป็นผู้สละ อาคารบ้านเรือนทั้งหมด ไม่ว่าเงินและทอง ทุกๆ อย่างที่สมควรกับคฤหัสถ์ ดังนั้นการบวช จึงไม่ใช่เพื่อตอบแทนพระคุณมารดา บิดา ไม่ใช่เพื่อว่าบวชแล้วจะเป็นบุญ (บุญอยู่ที่จิตไม่ใช่เครื่องนุ่งห่มที่ใส่) ถ้าบวชหนึ่งครั้งก็ถือว่าประเสริฐ ไม่ใช่เป็นเรื่องประเพณีดังเช่นปัจจุบัน แต่เป็นเรื่องของปัญญาที่เห็นโทษของกามคุณ โทษของการครองเรือน และมีศรัทธาที่จะประพฤติตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงแสดง ทั้งพระวินัยและการศึกษาธรรมอย่างแท้จริงเพื่อถึงการดับกิเลส

การบวช เป็นเรื่องที่ยากมาก และการยินดีในการบวช ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นเดียวกัน เพราะการบวช เป็นการเว้นทั่ว เว้นจากอกุศล เว้นจากสิ่งที่ทำให้ติดข้องต้องการ เป็นต้น แสดงถึง เพศที่แตกต่างไปจากคฤหัสถ์อย่างสิ้นเชิง ถ้าหากล่วงละเมิดพระธรรมวินัย ไม่ประพฤติตามพระธรรมวินัย เป็นผู้ย่อหย่อน ไม่รักษาพระวินัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ขาดความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัย ย่อมเป็นผู้มีอบายภูมิเป็นที่ไปในเบื้องหน้าเท่านั้น เมื่อต้องอาบัติแล้ว ไม่กระทำคืนตามพระวินัย ก็เป็นเครื่องกั้นการบรรลุมรรคผลนิพพาน กั้นการไปสู่สุคติด้วย แทนที่จะได้กระทำกิจที่ควรทำ ที่จะเป็นที่พึ่งสำหรับตนเอง แต่กลับไปเพิ่มอกุศล เพิ่มความไม่รู้ เพิ่มเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเอง ที่จะทำให้ได้รับผลที่ไม่ดีในอนาคตข้างหน้า เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาเป็นอย่างมากทีเดียว

บุคคลในครั้งพุทธกาล ท่านได้ฟังพระธรรม ได้เข้าใจพระธรรมจาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เห็นโทษของการอยู่ครองเรือน ว่า คับแคบ (คับแคบด้วยอกุศล คับแคบด้วยกิเลส) มีแต่จะเป็นเครื่องพอกพูนกิเลสให้หนาแน่นขึ้น แล้วมีอัธยาศัยน้อมไปที่จะขัดเกลากิเลสให้ยิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์ จึงสละทุกสิ่งทุกอย่าง สละทรัพย์สมบัติ สละวงศาคณาญาติ แล้วออกบวชเป็นบรรพชิต ด้วยความจริงใจ ด้วยความตั้งใจที่จะขัดเกลากิเลสจริงๆ เพื่อการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ จนกระทั่งสูงสุด ถึงความเป็นพระอรหันต์ [ไม่ใช่บวชด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่บวชตามๆ กัน ไม่ใช่บวชเพราะอยากจะบวช เป็นต้น] ความเป็นบรรพชิต ความเป็นสมณะ ถ้ารักษาไม่ดี มีแต่จะฉุดคร่าไปสู่นรกโดยส่วนเดียว ไม่ควรเห็นว่า พระภิกษุ จะไม่ตกนรก เพราะถ้าประพฤติไม่ดี เที่ยวย่ำยีสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ ก็ล้วนแล้วแต่ กำลังทำทางที่จะทำให้ตนเองไปสู่อบายภูมิ ซึ่งจะประมาทไม่ได้เลยจริงๆ ที่สำคัญความเป็นบรรพชิตไม่ได้อยู่ที่เพศ หรือ เครื่องแต่งกาย หรือ บริขารเครื่องใช้สอย แต่อยู่ที่ความเป็นผู้จริงใจในการขัดเกลากิเลส

ดังนั้น การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จะเป็นหญิงหรือชาย ก็ตาม ถ้าหากว่ามีโอกาสที่จะได้ศึกษาพระธรรมฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญา พร้อมทั้งเจริญกุศลทุกประการ นั่นย่อมเป็นชีวิตที่มีค่าเป็นอย่างมาก เพราะเหตุว่า ไม่มีใครสามารถทราบได้ว่า จะจากโลกนี้ไป (ตาย) เมื่อใด และเมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิด ในภพภูมิใด ถ้าหากไปเกิดในอบายภูมิ ย่อมหมดโอกาสที่จะได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม พิจารณาพระธรรม ไม่มีโอกาส ที่จะอบรมเจริญปัญญา เพื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงได้ ฉะนั้นแล้ว ทุกๆ วันจึงเป็นโอกาสที่ดี ที่จะทำชีวิตที่ยังมีอยู่ ยังเหลืออยู่นี้ ให้เป็นชีวิตที่มีค่ามากที่สุด เท่าที่จะมากได้ และควรที่จะได้พิจารณาว่า ไหนๆ ก็จะต้องตายอยู่แล้ว การเป็นคนดี และฟังพระธรรมให้เข้าใจขึ้น ย่อมเป็นการดีกว่าที่จะไปทำอะไรอย่างอื่นด้วยความไม่รู้ เพราะการที่จะเป็นคนดี ก็สามารถที่จะเป็นได้ แม้ไม่ได้บวช.

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้กล่าวถึงความต่างระหว่างเพศบรรพชิตกับคฤหัสถ์ ไว้ น่าพิจารณาทีเดียว ว่า

ความต่างกันของผู้ที่เป็นพุทธศาสนิกชน พุทธบริษัท ระหว่างผู้ที่บวชกับผู้ที่ไม่บวชคือว่าพุทธบริษัทที่ไม่บวช เพราะว่าไม่ได้สะสมอัธยาศัยที่จะบวช ไม่มีอัธยาศัยใหญ่ถึงกับสละเพศคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิตได้ แต่ว่าคฤหัสถ์ผู้นั้นก็เป็นพุทธบริษัทที่ดี สามารถอบรมเจริญปัญญารู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ เช่น ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี มหาอุบาสิกาวิสาขา และท่านอื่นๆ อีกมาก ท่านก็เป็นผู้ที่เป็นพุทธบริษัทที่อบรมเจริญปัญญาในเพศคฤหัสถ์แล้วก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 12 มี.ค. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 12 มี.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ไม่ต้องบวช ถ้าประสงค์จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เป็นคนดี ก็สามารถที่จะน้อมประพฤติปฏิบัติได้แม้ในเพศคฤหัสถ์ จะตอบแทนพระคุณมารดาบิดา ก็ตอบแทนได้เลย โดยไม่ต้องบวช เพราะถ้าบวชแล้ว โดยไม่รู้อะไรเลย ไม่มีจุดประสงค์ที่ถูกต้อง ย่อมไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น เสียเวลา และ เมื่อไม่รู้อะไร จะทำถูกต้องไม่ได้ มีแต่จะเป็นโทษกับตนเองโดยส่วนเดียว ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 13 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 14 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 16 มี.ค. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
Patchanon
วันที่ 16 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
nopwong
วันที่ 22 มี.ค. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wannee.s
วันที่ 25 มี.ค. 2559

สมัยนี้ส่วนมากบวชตามประเพณีหรือบวชตามๆ กัน ถ้าไม่มีเข้าใจธรรมบวชแล้วไม่รักษาพระธรรมวินัยมีโทษมาก เพราะเพศบรรพชิตกับเพศคฤหัสถ์ต่างกันเปรียบเหมือนฟ้ากับดินค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ