ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๓๙

 
khampan.a
วันที่  20 มี.ค. 2559
หมายเลข  27584
อ่าน  1,533

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๓๙

~ น่ากลัวมากไหม ภพภูมิต่างๆ ที่เป็นอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น เพราะเหตุว่าใกล้ ไม่ไกล ถ้ารู้สึกว่าไกลก็ไม่ค่อยกลัว แต่ถ้าคิดว่าใกล้ อาจจะเป็นวันนี้ พรุ่งนี้ เดือนนี้ ปีนี้ ก็อาจจะเห็นโทษแล้วก็เจริญกุศลยิ่งขึ้น

~ จะห้ามได้ไหมเรื่องของกิเลส เพราะสะสมไว้มากๆ ? ปาณาติบาต (ฆ่าสัตว) แม้สัตว์เล็กๆ นิดๆ หน่อยๆ มีไหม? นั่นก็เป็นกรรมที่จะทำให้เกิดในนรก แต่ถ้าผู้นั้นยังไม่หมดจากกิเลส ก็ย่อมมีกิเลสที่มีกำลังที่จะทำให้กระทำทุจริตกรรมได้

~ ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ไม่วิเวก ตรึกไปด้วยความยินดีก็เพลิน วิเวกหรือเปล่า? อยู่คนเดียวก็ได้ แต่ว่าคิดเพลินไป ไม่วิเวก แต่ถ้าวิเวกจริงๆ สงบจริงๆ ต้องสิ้นราคะ โทสะ โมหะ

~ โลภะเป็นสภาพของความพอใจ ผู้ที่ยังไม่ใช่เป็นพระอรหันต์แล้ว ยังไม่หมด ความพอใจ เป็นปกติของคนหนึ่งๆ มากน้อยต่างกัน บางคนอาจจะพอใจ ในรูปมากกว่าทางเสียง มากกว่าทางจมูก มากกว่าทางลิ้น บางคนก็อาจจะพอใจในเสียงมากกว่ารูป มากกว่าทางกลิ่น ทางรส บางคนก็อาจจะติดพอใจมากในรส เพราะฉะนั้น สภาพของความพอใจเกิดขึ้นขณะใด ก็ต้องมีเหตุปัจจัยทั้งสิ้น แล้วก็เฉพาะของแต่ละบุคคล ก็ไม่เหมือนกัน ขณะใดที่ความพอใจเกิดขึ้น แล้วก็สติไม่เกิด ไม่ระลึกรู้ว่าลักษณะนั้น ก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ที่อาศัยเหตุปัจจัยนั้นๆ เกิดขึ้นถ้าไม่รู้ลักษณะของโลภะในขณะนั้น ว่าเป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ก็จะยึดถือว่าเป็นเรา เป็นตัวตน ก็จะยึดถือโลภะนั่นเอง ความชอบใจที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นในขณะนั้นว่า เราชอบใจ เราพอใจ แต่ความจริง สภาพของความพอใจ ก็เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ตัวตน

~ ในครั้งพุทธกาล ท่านแสดงให้เห็นว่า การบรรพชานั้นยาก เพราะเหตุว่า ไม่ใช่เป็นการที่ให้ไปประพฤติปฏิบัติเพียงชั่วคราว เพื่อหวังผลแล้วกลับมา แต่ว่าเป็นอัธยาศัยจริงๆ ของผู้นั้นที่จะละอาคารบ้านเรือน ละวงศาคณาญาติ ละรูป เสียง กลิ่น รสอาหารที่ประณีตต่างๆ ละความสะดวกสบายต่างๆ เป็นอัธยาศัยจริงๆ

~ พระธรรมเทศนาทั้งหมด เพื่อเตือนให้รู้จักตนเอง เพื่อความไม่ประมาท เพื่อความสลด เพื่อการที่จะได้เจริญกุศลธรรมมากขึ้น ยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่าเป็นการไร้สาระ หรือว่าไม่มีประโยชน์ที่จะกล่าวถึงความจริง แต่ว่าเพื่อจะให้ทุกคนได้ตระหนักชัดถึงความจริง

~ ปัญญา เปรียบเหมือนกับแสงสว่าง เวลาที่ปัญญาเกิดขึ้น ก็ย่อมทำให้รู้ทั่วในธรรมทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอกุศลและทั้งที่เป็นกุศล ทั้งที่ควรเสพควรเจริญและที่ไม่ควรเสพไม่ความเจริญ

~ สัปบุรุษที่ยิ่งกว่า สัปบุรุษ คือ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมโดยละเอียด เพราะฉะนั้น ถ้าท่านผู้ฟัง ฟังธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ก็ชื่อว่า เป็นผู้ที่คบหาสัปบุรุษ

~ เรื่องของธรรม เป็นเรื่องจริงในชีวิตประจำวัน ถ้าเป็นกุศลก็ไม่มุสา (ไม่พูดเท็จ) แต่ที่มุสาเป็นเพราะในเมื่อเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ไม่จริงแล้วก็พูดในสิ่งที่ไม่จริง จะเป็นกุศลไม่ได้ เพราะเหตุว่าอะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้พูดสิ่งที่ไม่จริง ก็ต้องเป็นเพราะอกุศลธรรม

~ คำพูด ขึ้นอยู่กับกุศลจิตและอกุศลจิตว่า ท่านจะพูดด้วยกุศลจิตหรือว่าท่านจะพูดด้วยอกุศลจิต ถ้าเป็นการพูดด้วยอกุศลจิตไม่มีประโยชน์กับบุคคลใดทั้งสิ้น แล้วก็เป็นสิ่งที่ควรละเว้น ควรระลึกได้ ควรรู้ว่า ไม่ควรเลยที่จะกล่าว เพราะว่าคำพูดบางคำอาจจะสามารถพลิกชีวิตของบุคคลอื่นได้ทั้งชีวิตทีเดียว ทำให้เกิดความเสียใจอย่างมากมาย แล้วก็ทำให้ประพฤติในทางที่ไม่เหมาะไม่ควรต่างๆ ซึ่งถ้าบุคคลนั้นงดเว้น วิรัติคำพูดอย่างนั้นเสีย ก็จะไม่ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่เหมาะไม่ควรอย่างนั้นขึ้นได้


~ เรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมด ผู้ที่เห็นโทษจึงจะงดเว้น แต่ผู้ที่ไม่เห็นโทษ ก็ไม่เห็นจริงๆ ว่าเป็นโทษ แต่ว่าความจริงแล้ว อกุศลธรรมทั้งหลายนั้นย่อมให้ผลตามควรแก่สภาพของอกุศลธรรมนั้นๆ

~ วาจาหยาบเป็นโทษอันเผ็ดร้อนแก่ผู้อื่น ไม่มีใครฟังแล้วจะสบายใจ ไม่มีใครฟังแล้วจะไม่เดือดร้อนเลย ใกล้ต่อความโกรธ ยากนักที่คนที่ได้ฟัง ฟังแล้วจะไม่เดือดร้อนใจ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบจิต ได้ยินแล้วกระสับกระส่าย เดือดร้อนใจ ไม่ใช่ชั่วขณะที่ได้ยิน ยังต่อไปอีกนาน ทำให้จิตหวั่นไหว ไม่สงบ นี้คือ ผรุสวาจา (วาจาหยาบ)

~ ถ้าท่านไม่ชอบได้ยินได้ฟังผรุสวาจาเลย เวลาที่เป็นผู้ฟังไม่ชอบเลย เวลาที่จะกล่าว ยับยั้งได้ไหม ถ้าลองนึกเทียบเคียงดูว่า คำที่ท่านจะกล่าวเป็นคำที่ท่านจะได้ฟัง ลองกลับกันเสียให้ท่านเป็นผู้ฟัง ไม่ใช่ท่านเป็นผู้กล่าว จะทนไหวไหม ผรุสวาจาที่ท่านกำลังจะกล่าวออกไปอย่างแรง ด้วยกำลังของโทสะ ด้วยจิตที่หยาบกระด้าง เพราะเหตุว่าบางท่านนี้ยับยั้งไม่ได้เลย สะสมมาในเรื่องของผรุสวาจา

~ ถ้าใครทำกุศลกรรม ถึงคนอื่นจะไปขอร้องไม่ให้กุศลกรรมให้ผล ก็เป็นไปไม่ได้ หรือว่าถ้าใครทำอกุศลกรรม ถึงใครจะไปช่วยกันอ้อนวอน ขอร้องอย่าให้บุคคลนั้นได้รับผลของอกุศลกรรม ก็เป็นไปไม่ได้เลยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ผู้อื่นก็ไม่ควรจะมีจิตใจเดือดร้อนกับเรื่องราวของบุคคลอื่นกับกรรมของบุคคลอื่น เพราะบุคคลนั้นก็ย่อมเป็นไปตามกรรมของเขา และในขณะเดียวกัน ก็จะได้พิจารณาถึงสภาพจิตของตนเองด้วยว่า ถ้าเป็นอกุศลในขณะนั้น ก็เป็นการกระทำตนเองให้เดือดร้อน แล้วก็สะสมอกุศล ความเศร้าหมองของจิตมากขึ้น ซึ่งก็จะเป็นโทษเพิ่มขึ้น

~ วันหนึ่งๆ ที่อกุศลจิตเกิดมาก เป็นเพราะเหตุใด ขณะนี้อยู่ในประเทศที่สมควร คือ มีโอกาสที่จะได้รับฟังพระธรรม เพราะฉะนั้นเวลาที่อกุศลจิตเกิด ก็ย่อมหมายความว่า การฟังธรรมนั้นยังไม่พอ หรือว่ายังไม่ได้สะสมบุญในอดีตมาพร้อมและพอที่จะให้กุศลจิตเกิดบ่อยๆ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่จะท้อถอย แต่เป็นเรื่องที่เมื่อรู้เหตุผลแล้ว ก็สะสมเหตุที่จะให้เกิดผลที่จะทำให้กุศลจิตเกิดได้บ่อยๆ

~ พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงเรื่องของอกุศลมากทีเดียวเพื่อให้เห็นโทษ ถ้าใครที่ยังไม่เห็นโทษของอกุศล ก็ยังประมาทอยู่เพราะคิดว่า มีกุศลพอแล้ว แต่ถ้าเห็นโทษของอกุศลมากๆ จะเป็นผู้ที่ไม่ประมาท

~ ควรจะได้พิจารณาพระธรรมวินัยโดยละเอียดถึงเหตุที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบท ใครเป็นผู้ทรงบัญญัติสิกขาบท? พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า, ถ้าไม่เห็นโทษของการประพฤติการปฏิบัติที่ไม่เป็นการขัดเกลาก็จะไม่ทรงบัญญัติไว้ เพราะฉะนั้น เหตุผลย่อมมีและผู้ประพฤติปฏิบัติย่อมจะสังเกตรู้ได้ว่าการปฏิบัติอย่างใดเป็นการขัดเกลา และการปฏิบัติอย่างใดไม่ขัดเกลา

~ กิเลสของท่านมีมากมายเหลือเกิน เมื่อท่านรู้ว่า กิเลสของท่าน มาก มีทั้งอย่างบางเบา อย่างละเอียด อย่างแรง เป็นไปตลอดเวลา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็เป็นเครื่องแสดงอยู่แล้วว่า ปัญญา น้อยเสียเหลือเกิน เพราะฉะนั้น ก็ควรที่จะได้สะสมอบรมเจริญปัญญาให้เกิดขึ้นที่จะละกิเลสทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยการรู้สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง

~ มีเมตตาต่อกัน หวังดีต่อกัน เกื้อกูลกันที่จะให้ได้รับประโยชน์สูงสุดของการได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกคนต้องตายทั้งนั้น แต่ขอให้เห็นถูกในโทษของอกุศล จนไม่ทำอกุศลกรรม

~ จิตใจของแต่ละคนไม่เหมือนกันเลย บางคนก็สะสมอกุศลมามาก บางคนก็สะสมกุศลมามาก แล้วเราจะทำอะไรได้ นอกจากรักษาจิตของตนเอง ด้วยการเข้าใจถูกต้องว่า เป็นมิตร ไม่ใช่เป็นศัตรู ไม่ใช่หวังร้าย

~ กำลังสะสมปัจจัยที่จะมีโอกาสได้เข้าใจคำที่ได้ยินโดยยาก ได้เข้าใจคำที่ได้ยินโดยยากด้วย ขณะนี้จึงเป็นโอกาสที่ประเสริฐที่ได้ฟังและค่อยๆ เข้าใจขึ้น พร้อมเป็นปัจจัยให้ได้ฟังอีกต่อไป

~ ผู้ใดก็ตามที่ได้ฟังพระธรรม ก็รู้ได้ว่า ขณะที่มีประโยชน์ที่สุดก็คือได้ฟังด้วยความเคารพเพื่อที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าเพียงเห็นรูปพุทธปฏิมากรเตือนให้ระลึกถึง แต่รูปนั้นก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น จะไม่ได้เข้าใจความจริงเพียงการกราบไหว้ แต่ด้วยการรู้ว่าพระธรรมที่ทรงแสดง ๔๕ พรรษา ก็คือเป็นสิ่งที่มีในขณะนี้ แล้วสามารถเข้าใจถูก เห็นถูกได้ต่อเมื่อได้ฟัง

~ ถ้าได้ฟังคำจริง (พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง) บ่อยๆ ก็จะเห็นว่า คำใดๆ ก็ไม่น่าสนใจเท่ากับคำจริง

~ หนทางผิด ปิดกั้นหนทางถูก

~ ทำสิ่งที่ถูกต้องที่ดีที่สุด ในขณะนั้นเป็นกุศลเพราะกุศลจิตไม่ให้โทษ.

ขอเชิญผู้ศึกษาพระธรรมร่วมกัน (สหายธรรม) ร่วมแบ่งปันธรรมด้วยครับ

ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ

ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๓๘

... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
peem
วันที่ 20 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
thilda
วันที่ 20 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่ 20 มี.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของ อ.คำปั่น อักษรวิลัย ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Boonyavee
วันที่ 20 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
swanjariya
วันที่ 21 มี.ค. 2559

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ท่านวิทยากรทุกท่านและท่านผู้เกี่ยวข้อง

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 21 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
jaturong
วันที่ 21 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 21 มี.ค. 2559

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
Noparat
วันที่ 21 มี.ค. 2559

~ ทำสิ่งที่ถูกต้องที่ดีที่สุด ในขณะนั้นเป็นกุศลเพราะกุศลจิตไม่ให้โทษ.

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
pulit
วันที่ 21 มี.ค. 2559

กราบอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
เมตตา
วันที่ 21 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตที่ดีงาม ของ อ.คำปั่น ด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
j.jim
วันที่ 21 มี.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
nattawan
วันที่ 30 มี.ค. 2559

หนทางผิดปิดกั้นหนทางถูก

ขอบคุณและอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 14  
 
nong
วันที่ 1 เม.ย. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ