คิดว่าทุกสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย แล้วกลายเป็นคนเฉื่อยชา
เรียนถามอาจารย์ค่ะ การที่มีความเข้าใจว่าทุกสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย แล้วกลายเป็นคนที่เฉื่อยชา ไม่รีบร้อนทำกิจการงานต่างๆ ตามที่ควรจะเป็น เพราะมองว่าทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย สิ่งต่างๆ จะเสร็จเมื่อไหร่ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ดังนั้นไม่ต้องรีบมากก็ได้ ความคิดแบบนี้คงจะไม่ถูกต้อง ควรจะเข้าใจในเรื่องที่ว่าทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยอย่างไรและประพฤติอย่างไรคะ ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
การเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ความหมายนี้ คือ ต้องมีเหตุ จึงมีผล หาก ไม่สะสมเหตุ คือ การฟังพระธรรม ก็ไม่มีทางถึงการบรรลุธรรม เพราะฉะนั้น เฉื่อย ไม่ทำอะไรเลย ไม่ฟัง ศึกษาพระธรรม ก็ไม่สะสมเหตุ ก็สมควรกับผล คือ ไม่รู้ต่อไป นั่นคือเป็นไปตามเหตุปัจจัย ครับ ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่จะเป็นเครื่องดับกิเลส จะเจริญสมบูรณ์พร้อมได เพราะมีการสะสมปัญญาด้วยการฟัง การศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่เป็นผู้เกียจคร้าน ไม่ใช่่ว่าอยู่เฉยๆ เฉื่อยชาโดยไม่ได้สะสมเหตุทีดีอะไรเลย ผู้ที่มีปัญญาย่อมจะพิจารณาได้ว่า ช่วงเวลาของชีวิตที่ประเสริฐ ก็คือ การมีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้ตนเองได้มีความเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง อันเป็นความน้อมไปของกุศลธรรม ไม่ใช่ตัวตนที่น้อมไปอย่างนั้น แต่มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอย่างนั้น และประการที่สำคัญการฟังแต่ละครั้ง ย่อมไม่ไร้ผล มีแต่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญาไปตามลำดับ จนกว่าจะถึงการดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ในที่สุด ซึ่งไม่ใช่การบังคับ แต่กุศลธรรมซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงปฏิเสธความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล อย่างสิ้นเชิง ซึ่งอีกความหมายหนึ่งของอนัตตา ที่ท่านแสดงไว้ในอรรถกถา เถรคาถา สรุปได้ว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา คือ ไม่เป็นอิสระ เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...