เมื่อสภาพธรรมปรากฏที่ญาจาง Nha Trang เวียดนาม 1
วันที่ยาวนาน
วันที่ 1 - 11 เมษายน 2559 ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจากชมรมบ้านธัมมะ เวียดนาม ให้ไปสนทนาธรรมที่ญาจางเป็นเวลา 10 วัน มีสมาชิกชมรมบ้านธัมมะร่วมเดินทางทั้งชาวไทยและต่างประเทศ 15 ท่าน
ออกเดินทางวันที่ 1 เม.ย 59 ก่อนหน้านั้น 1 วัน บางแห่งของกรุงเทพฝนตกหนักทำให้รถติดมหาศาล และเรด้าของสนามบินสุวรรณภูมิยังขัดข้องทำให้เครื่องดีเลย์นับร้อย วันนี้จึงตัดสินใจตื่นตั้งแต่ตี 4 เพื่อออกจากบ้านตี 5 ถึงสนามบิน 6โมงเช้า เดินสำรวจสนามบินคอยเวลานัดหมาย 9 โมง แล้วต้องเดินไกลถึง 1.5 กม. ไปประตูขึ้นเครื่อง โชคดีที่ขอรถเข็นสำหรับท่านอาจารย์และผู้อาวุโสอายุเกือบ 90 ปีอีก 2 ท่านด้วย ถึงเวลาเครื่องออกก็ดีเลย์ไปเกือบชั่วโมง ได้รับประทานอาหารว่างเล็กน้อย ใช้เวลาบิน 1.30 ชม. ถึงไซ่ง่อนบ่ายโมงกว่า ต้องรีบไปเช็คอินที่สนามบินภายในประเทศที่อยู่ติดกันไปญาจาง เดิน เดิน แล้วก็เดิน ได้นั่งพักเล็กน้อย อาหารที่เตรียมมาทานระหว่างเดินทางก็เช็คอินขึ้นเครื่องไปแล้ว คิดว่าเขาจะเสริฟบนเครื่องอีก แต่บินแค่ครึ่งชั่วโมงก็ถึง ไม่ทันได้เสริฟอะไรนอกจากน้ำเปล่า แต่ไม่ต้องห่วงท่านอาจารย์ค่ะ เพราะทางเวียดนามจองตั๋วบิสสิเนสให้ท่านและพี่จี๊ด จึงได้รับประทานอาหารว่างที่วีไอพีเล้าจน์ระหว่างรอขึ้นเครื่อง
ถึงญาจางห้าโมงกว่า ผ่านขั้นตรวจแท๊กกระเป๋ายุ่งยากกว่าตรวจคนเข้าเมืองเสียอีก ออกมาพบลูกหลานเวียดนามมอบดอกไม้ต้อนรับท่านอาจารย์อยู่ด้านนอก แล้วพากันนั่งรถบัสเข้าเมืองญาจาง ระยะทางประมาณ 30 กม. รถแล่นบนถนนลงเขาเลียบทะเล ทางซ้ายมือมองเห็นเทือกเขาสลับซับซ้อน เขียวชะอุ่มด้วยป่าไม้ ทางขวามือมองเห็นอ่าวน้อยใหญ่มีหาดทรายยาวเหยียดเว้าแหว่งเป็นรูปร่างต่างๆ เห็นเรือประมงกำลังหาปลามากมาย
(ภาพจากแฟ้มภาพเมื่อครั้งท่านอาจารย์เดินทางมาสนทนาธรรมที่ญาจาง เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๘)
ขณะนั้นพระอาทิตย์กำลังตกดินพอดีทำให้เห็นท้องฟ้าเป็นสีต่างๆ ตัดกับน้ำทะเลสีครามสวย ที่จริงแล้วมีแต่สี สี สี คือ สิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เพียงหลับตา หรือหันไปคนละทางหรือตาบอดก็ไม่ปรากฏแล้ว กับสภาพรู้ทางตาเท่านั้น แต่ด้วยความไม่รู้ทำให้คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นวิวทิวทัศน์สวยงามน่าติดข้อง น่าหลงไหล น่าเพลิดเพลิน อยากเห็นอย่างนั้นอีก ทั้งๆ สิ่งเหล่านั้นดับไปนานแล้ว แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ มีแต่ความไม่รู้และติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ สะสมในจิตทำให้ต้องเกิดมาเห็น ได้ยิน คิดนึกเป็นเรื่องราวให้ติดข้องต้องการอย่างนี้อีก เมื่อได้ตามต้องการก็ยิ่งติดข้องมากขึ้น เมื่อไม่ได้ก็ขุ่นข้องขัดเคือง เป็นสุข เป็นทุกข์ไปอย่างนี้ไม่สิ้นสุด แต่ก็ยังโชคดีที่ทำบุญไว้แต่ปางก่อน จึงได้ยินได้ฟังความจริงที่พระผู้มีพระภาคตรัสรู้และทรงแสดงไว้ดีแล้ว ทำให้เห็นแสงรำไรของพระธรรมทำให้รู้ว่า ที่เป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ทุกขณะ เพราะความไม่รู้เป็นเหตุ จะหมดสุขหมดทุกข์เพราะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เพิ่มขึ้นๆ จนรู้ทั่ว ประจักษ์การเกิดขึ้นและดับไปของนามและรูปตามความเป็นจริง
ถึงโรงแรมที่เคยพักคราวก่อน The Light ที่มีรูปร่างเหมือนประภาคารริมทะเลก็มืดแล้ว ทั้งง่วงและหิว รู้สึกว่าวันนี้ยาวนานเหลือเกิน เป็น The longest day วันหนึ่งในชีวิต คิดด้วยความไม่รู้อีกเช่นเคย ความจริงทรงแสดงไว้ว่า ชีวิตก็คือแต่ละขณะที่เกิดปรากฏ และแต่ละขณะก็มีอายุเท่ากัน คือขณะที่เกิดขึ้น ขณะที่ตั้งอยู่ และขณะที่ดับไปเท่านั้น แต่ละวันก็สมมติตามพระอาทิตย์ขึ้นและตก แต่ด้วยความอ่อนล้าอยากจะนอน จึงคิดว่าวันนี้ยาวนานเหลือเกินที่ร่างกายห่างจากที่นอน
เพราะรู้ตัวเองว่า มีความไม่รู้มากมายเหลือเกิน จึงติดตามท่านอาจารย์ไปทุกแห่งที่มีโอกาส เพื่อฟังความจริงที่ท่านนำมาพูดให้ฟัง จากความเข้าใจคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าของท่านที่สะสมในชาตินี้มากว่า 60 ปี และในชาติก่อนๆ มายาวนาน ทำให้ท่านแตกฉานอย่างยิ่ง กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพ ที่ค่อยๆ เปิดของที่ปิด หงายของที่คว่ำ บอกทางแก่คนหลงทาง แม้บอกแล้วจะหลงอีกกี่ครั้งก็ตาม ท่านก็ยังอดทนที่จะพร่ำสอนโดยไม่เบื่อหน่ายเลย
ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
วันนี้ดูถ่ายทอดสดจากเวียดนาม พระภิกษุได้ถามเกี่ยวกับ พระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ที่ชาวเวียดนามเคารพ ว่าพระองค์ไหนคือพระพุทธเจ้าที่กำลังกล่าวถึง ท่านอาจารย์ได้เมตตาตอบคำถามอย่างกระจ่างแจ้งว่า ความเชื่อนั้นแตกต่างกัน แต่คำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์นั้นเหมือนกัน ความเชื่อและความคิดล้วนหลากหลายไปตามการสะสม ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของใครได้ แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นก็มีเมื่อคิด เหนือสิ่งอื่นใดจึงควรเข้าใจโลกคือสภาพธรรมแต่ละหนึ่งที่ปรากฏทั้ง 6 ทาง คือตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เพราะหากความเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้นไม่ค่อยๆ เจริญ เพิ่มขึ้น แต่ละคนก็ยังคงอยู่ในความคิดของตัวเองและยังคงมีความเชื่อต่างกัน ศรัทธาในพระพุทธเจ้าต่างกันเช่นเดิม"
ได้ฟังแล้วก็ทำให้ระลึกถึงพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามากยิ่งขึ้น ดังคำกล่าว "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" กราบแทบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพที่ท่านพร่ำสอนชี้ทางให้เหล่าศิษย์ทั้งหลายได้ค่อยๆ สะสมความเห็นถูก เข้าใจถูกไปเรื่อยๆ จะเกิดอีกกี่ภพกี่ชาตินับไม่ถ้วนก็ได้ แต่ขอให้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมเพื่อสะสมความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อยไปเรื่อยๆ ค่ะ
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะ ของคุณแม่แดง และทุกๆ ท่าน เป็นอย่างยิ่งค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่แดง (พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง) ครับ แม้จะเหนื่อยจากการเดินทางที่ล่าช้า แต่ยังกรุณารายงานสดๆ จากญาจางมาให้พวกเราได้ทราบข่าวคราวของท่านอาจารย์ ที่มีเมตตาเดินทางไปเผยแพร่ความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แก่พี่น้องสหายธรรมชาวเวียดนาม ในครั้งนี้ ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่สงบ เชื้อทอง ช่างภาพกิตติมศักดิ์ของชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ที่ขยันถ่ายภาพหลากมุมมองมากๆ ครับ ส่งไลน์มาให้เตรียมภาพไว้ประกอบกระทู้รายงานสดของพี่แดงอย่างทันเหตุการณ์ กราบอนุโมทนาพี่ทั้งสอง ที่ให้ผมได้มีโอกาสร่วมเจริญกุศล แม้ไม่ได้เดินทางร่วมไปกับคณะของท่านอาจารย์ในครั้งนี้นะครับ