เมื่อสภาพธรรมปรากฏที่ญาจาง เวียดนาม 3

 
kanchana.c
วันที่  5 เม.ย. 2559
หมายเลข  27639
อ่าน  1,005

อยู่ญาจางเป็นวันที่ 5 แล้ว ยังไม่ได้เหยียบหาดทรายหน้าโรงแรมเลย ได้แต่มองดูจากหน้าต่างห้องชั้น 13 เห็นแต่สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ทั้งยามเช้า สาย บ่าย เย็น ดึก ยังไม่ได้สัมผัสทางทวารอื่น เช่นยังไม่ได้ยินเสียงคลื่น กายยังไม่ได้กระทบอ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อนที่หาดทราย จึงเพียงแต่เห็นแล้วคิดถึงด้วยความติดข้องว่า พรุ่งนี้จะต้องไปเดินเล่นชายหาดให้ได้ แต่ก็ไม่ได้ไปจนถึงวันที่ 5 แล้ว พรุ่งนี้คงได้ไป เพราะทุกวันที่ผ่านมาตื่นแต่เข้ามืดเขียนเรื่อง

ทานข้าวเช้า 7:30 ทานเสร็จเตรียมตัวทำหน้าที่ในห้องประชุมตอน 9:00 สนทนาธรรมเสร็จ ทานข้าวกลางวัน 11:30 ตอนบ่ายจะว่างถึงบ่ายสาม แต่แดดร้อนจัดเกินกว่าจะไปเดินเล่นได้ ได้แต่มองทางหน้าต่างเห็นแต่ฝรั่งนอนอาบแดด

เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยว มีโรงแรมริมชายหาดมากมายทั้งเก่าและกำลังก่อสร้าง นักท่องเที่ยวส่วนมากเป็นฝรั่งรัสเซีย ในเครื่องบินจากไซ่ง่อนมาญาจางก็มีแต่รัสเซีย ไม่ค่อยเห็นนักท่องเที่ยวจีนเหมือนในเมืองไทย อาจจะเป็นเพราะอยู่แต่ในโรงแรม ไม่ได้ออกไปไหน สัมผัสบรรยากาศเมืองญาจางแต่ทางตาจากหน้าต่างห้อง

ตอนบ่ายเริ่มสนทนาธรรม 15:00 ถึง 17:00 จบการสนทนาก็มีสหายธรรมห้อมล้อมขอถ่ายรูปกับท่านอาจารย์เป็นที่ระลึกจนเกือบ 17:30 จึงได้กลับห้องพัก

คอยเวลา 18:00 ที่นัดกับ Hang ลูกสาวเวียดนามพาไปทานข้าวเย็นข้างนอกโรงแรม วันแรกพาไปภัตตาคารอาหารพื้นเมืองที่คนเวียดนามนิยมมาก เพราะคนแน่นตลอดเวลา รสชาติอาหารก็อร่อยมาก เป็นหม้อไฟปลาต้มเค็มเดือดปุดๆ ทานกับผักและน้ำจิ้มหลากหลายชนิด วันนั้น 1 เม.ย. เป็นวันเกิด Tam Bach อาจารย์สุจินต์เวียดนาม เธอขอเป็นเจ้าภาพ แต่พวกเราไม่ยอม ขอเลี้ยงเป็นของขวัญวันเกิด พอบอกราคาก็ตกใจเพราะถูกมาก มีคนไปเกือบ 20 คน สั่งอาหารเต็มโต๊ะ ประมาณ 800,000 ด่อง (ไม่ถึง 1,500) เลยติดใจจะไปอีก ภายหลังจึงรู้ว่าTam Bach ออกไปครึ่งหนึ่งแล้ว
อีกวันฮั่งพาไปภัตตาคาร Sarina อยู่ติดโรงแรม ตามที่เพื่อนที่ญาจางแนะนำว่าอร่อยมาก ขนาดคนที่อพยพไปอยู่ต่างประเทศยังต้องบินมาทาน อร่อยจริงๆ ราคาก็ถูกมาก คนละไม่ถึง 100,000 ด่อง (150บาท)

เมื่อคืนพิเศษหน่อยจนอยากเล่าให้ฟัง มร. ซาว วิศวกรชาวเวียดนามที่มาฟังธรรมและเลื่อมใสอย่างมากแนะนำให้ไปทานให้ได้ เธอจองไว้เรียบร้อยแล้ว ลงจากแท๊กซีมองหาร้านเล็กๆ แต่ฮั่งพาเข้าภัตตาคารใหญ่ที่สุดในถนนนั้น พนักงานต้อนรับพาไปห้องวีไอพี ขอเมนูมาดู เห็นเมนูขลิบทองฝังเพชรก็ตกใจ ยิ่งดูราคายิ่งตกใจใหญ่ แล้วก็มีแต่ภาษารัสเซียและเวียดนาม ดูออกแต่ตัวเลข แต่ละอย่างราคาเป็นล้าน จนถึงหลายล้าน แม้จะหน่วยเป็นด่องก็ตาม บอกฮั่งตรงๆ ว่า ไม่รู้ว่าเงินด่องของพวกเรารวมกันจะพอหรือไม่ เธอบอกว่าราคาพอๆ กับที่อื่น ก็เลยตัดสินใจสั่งไข่เจียวกับผัดผักบุ้ง ส่วนอาหารทะเลแพ้ ทานไม่ได้เพราะแพง สักพักน้องคนสวยที่เสริฟก็มาบอกว่า มร.ซาวสั่งไว้ให้แล้ว เลยได้ทานอาหารอร่อยมาก ถูกใจทุกคน ตอนคิดเงินยิ่งถูกใจใหญ่ เพราะตกคนละ 200,000 ด่อง สงสัยว่า มร.ซาว จะออกอีกครึ่งแน่นอน คราวนี้เลยบอกฮั่งให้พาท่านอาจารย์และคณะไปทานกลางวันที่นี่ด้วย เพราะทั้งอร่อยหรูหราดูดีและถูกมาก ชื่อภัตตาคาร แปลเป็นภาษาไทยว่า โคมแดง

ติดข้องในรสอาหารที่ดับไปนานแล้ว จนต้องพร่ำพรรณนาถึงอยู่นาน แต่สภาพธรรมที่เกิดแล้วเป็นจริงอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ขณะนั้นก็รู้ถึงความตระหนี่ในทรัพย์ที่อาจต้องเสียมากไป ทั้งๆ ที่ทุกคนก็สามารถจ่ายได้ มาคุยกันเองขำๆ ว่า พอเห็นราคา ต่างก็พยายามหาทางวิ่งออกจากร้าน แต่สงสารลูกสาวที่พามาเลยหาทางสั่งที่ราคาถูกที่สุด ทำไมเป็นอย่างนั้น มีทรัพย์ที่หามาได้โดยชอบธรรม แต่ไม่ใช้ เก็บไว้ให้คนอื่นใช้เมื่อตายแล้ว คิดถึงพระสูตรหนึ่งที่ท่านอาจารย์ยกขึ้นมาบรรยายในแนวทางวิปัสสนา จากขุททกนิกาย เปตวัตถุ โภคสังหรเปตวัตถุ ขออนุญาตอัญเชิญอรรถกถามาเล่าให้ฟัง เพราะชอบมาก อ่านแล้วคิดถึงตัวเองเวลาตระหนี่และหวงแหนทรัพย์ ซึ่งเป็นอกุศลทำให้เกิดในอบายได้เหมือนกัน

ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระเวฬุวันมหาวิหาร หญิง ๔ คนในกรุงราชคฤห์ ทำการค้าขายด้วยเนยใส น้ำผึ้ง น้ำมันและข้าวเปลือกเป็นต้นด้วยเครื่องนับโกงเป็นต้น รวบรวมโภคะเลี้ยงชีพโดยไม่แยบคาย. เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก หญิงเหล่านั้นไปบังเกิดเป็นนางเปรต อยู่ที่หลังคูนอกเมือง.
ในเวลากลางคืน นางเปรตเหล่านั้นถูกความทุกข์เข้าครอบงำ ร้องบ่นเพ้อด้วยเสียงขรมน่าสะพึงกลัว ด้วยคาถาว่า :-
พวกเรารวบรวมโภคทรัพย์ไว้โดยชอบธรรมบ้าง โดยไม่ชอบธรรมบ้าง แต่คนอื่นๆ พากันใช้สอยโภคทรัพย์เหล่านั้น แต่พวกเรากลับมีส่วนแห่งทุกข์.
มนุษย์ทั้งหลายฟังเสียงนั้นแล้วกลัวสะดุ้งตกใจ เมื่อราตรีสว่าง ตระเตรียมมหาทานเพื่อภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน นิมนต์พระศาสดาและภิกษุสงฆ์ อังคาสด้วยขาทนียะและโภชนียะอันประณีต เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว นำพระหัตถ์ออกจากบาตรแล้ว จึงกราบทูลให้ทรงทราบถึงเรื่องนั้น.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า อุบาสกและอุบาสิกาทั้งหลาย เสียงนั้นไม่มีอันตรายอะไรๆ แก่ท่านทั้งหลาย ส่วนเปรตทั้ง ๔ ตนนั้นถูกความทุกข์ครอบงำ กล่าวถึงกรรมที่ตนทำชั่ว ร้องไห้เสียงร่ำไร พลางกล่าวคาถานี้ว่า:-
พวกเรารวบรวมโภคทรัพย์ไว้ โดยชอบธรรมบ้าง
โดยไม่ชอบธรรมบ้าง คนอื่นๆ พากันใช้สอยโภคทรัพย์
เหล่านั้น แต่พวกเรากลับเป็นผู้มีส่วนแห่งทุกข์.

ที่เล่ามาทั้งหมดก็เพราะยังไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงนั่นเอง จึงเป็นเราตระหนี่หวงแหน ความจริงแล้วทั้งความตระหนี่หวงแหนหรือกิเลสอกุศลใดๆ ก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดแล้วเพราะยังมีเหตุปัจจัย เกิดปรากฏแล้วก็ดับไป ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่เรา ต้องฟังไปอีกนานกว่าจะเจาะเปลือกไข่ของอวิชชา ออกจากความมืดมิดมาเห็นแสงสว่างของพระธรรมที่ทรงแสดงไว้ดีแล้วได้

ขอนอบน้อมแด่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
peem
วันที่ 5 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
jirat wen
วันที่ 5 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
j.jim
วันที่ 5 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 5 เม.ย. 2559

ขอขอบพระคุณ และอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
Boonyavee
วันที่ 5 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wirat.k
วันที่ 5 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
drsomluck
วันที่ 6 เม.ย. 2559

อนุโมทนาสาธุ เหมือนได้มีส่วนร่วมไปด้วยคะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
siraya
วันที่ 6 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 6 เม.ย. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
orawan.c
วันที่ 6 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 7 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
thilda
วันที่ 9 เม.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ