ความยินดีเกิด เมื่อฟังธรรม เป็นโลภมูลจิตหรือไม่
ผมติดตามสมาคมฯผ่านเวบไซต์และหนังสือครับเพราะบ้านอยู่ไกลอ.ฝาง ห่างจากเชียงใหม่ ๑๖๐ กม. เข้าใจว่าเลือกถูกและมาถูกทางครับ เพราะเมื่อฟังธรรมจากอ.สุจินต์แล้ว เข้าใจธรรมมากขึ้น และเห็นผลจากความทุกข์ในใจที่น้อยลงครับ ขออนุโมทนาสาธุทีมงานที่ช่วยกันเผยแพร่ธรรมะครับ
มีคำถามจากการสังเกตอาการจิตของตัวเองหลังจากศึกษาหนังสือ "พระอภิธรรมในชีวิตประจำวัน" ของอ.นีน่า ดังนี้ครับ
จิตเกิดความตื่นตัว ไม่เฉื่อยชา และยินดีเมื่อได้ฟังพระธรรม เป็นโลภมูลจิตหรือไม่
และเมื่อฟังหรืออ่านแล้ว เกิดความนึกคิด ปรุงแต่ง เปรียบเทียบธรรมกับสิ่งต่างๆ ใกล้ตัว
เช่น คิดนึกว่า จิตเจตสิก เทียบได้กับ คนกับเงา หรือไม่ เป็นโมหมูลจิต หรือไม่
และเมื่อสนทนาธรรมกับผู้อื่นที่เข้าใจธรรมคนละแบบกับเรา ก็โต้แย้งให้ในแบบที่เราคิดว่าถูก ถือเป็น โทสมูลจิต หรือไม่
ฝาก อ.คำปั่น ช่วยให้เกิดความกระจ่างด้วยครับ
ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-ชีวิตประจำวัน ไม่พ้นจากธรรม มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด จิต (และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) เกิดขึ้นเป็นไปอย่างไม่ขาดสาย จิตขณะหนึ่งดับไป เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที สำหรับในเรื่องของการฟังธรรม นั้น ถ้าเป็นไปกับความความยินดีพอใจ หวัง ต้องการ อยากรู้มากๆ เพื่อตัวเรา จะได้เป็นคนมีความรู้ อย่างนี้ ไม่ใช่กุศลอย่างแน่นอน ไม่พ้นจากความเป็นไปของอกุศลจิตประเภทที่มีโลภะเกิดร่วมด้วย แต่ถ้าเห็นประโยชน์ที่จะฟังที่จะศึกษาเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ขัดเกลาความไม่รู้ อย่างนี้ ไม่ใช่โลภะ และเมื่อฟังแล้วเข้าใจ เกิดความรู้สึกแช่มชื่นเบิกบานที่ได้เข้าใจในสิ่งที่ยากที่จะได้ฟังและยากที่จะเข้าใจ อย่างนี้ ก็ไม่ใช่โลภะ แต่เป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้นเป็นไปพร้อมกับความเข้าใจถูกเห็นถูก โดยมีความรู้สึกที่เป็นโสมนัสเวทนาเกิดร่วมด้วย ซึ่งก็ต้องเป็นเรื่องของปัญญาเท่านั้น ที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงของธรรมได้
-ปกติก็คิดอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ถ้าความคิดนั้นไม่ได้เป็นไปตามพระธรรมคำสอน แต่เป็นการคิดนึกไปเรื่อยและไม่ถูกต้องตามพระธรรม ย่อมไม่พ้นไปจากโมหะ ความไม่รู้ความจริง เป็นไปกับความฟุ้งซ่านไม่สงบ ถ้าเรียกชื่อก็คือ โมหมูลจิตที่ประกอบพร้อมด้วย อุทธัจจะ, การศึกษาพระธรรม ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป จริงๆ เพราะเป็นสิ่งที่เข้าใจยาก แม้จะได้ฟังเรื่องจิต เรื่องเจตสิก ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นการกล่าวถึงเรื่องอื่น แต่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ แต่ละขณะที่จิตเกิดขึ้น ก็ต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยตามควรแก่จิตขณะนั้นๆ ไม่ใช่เรื่องคาดคะเน หรือคิดเอาเองว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เนื่องจากพระธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้ว เพราะฉะนั้นก็มีพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ดีแล้ว เป็นที่พึ่ง ด้วยการฟังต่อไป ศึกษาต่อไปด้วยความละเอียดรอบคอบ พิจารณาไตร่ตรองตามพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง
-การกล่าวธรรม สนทนาธรรม ก็เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจถูกเห็นถูก อย่างนี้ย่อมเป็นกุศล เป็นความดี แต่ก็ต้องไม่ลืมความจริง คือ สภาพธรรม เกิดดับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ว่าจะเป็นกุศลโดยตลอด ขณะที่เกิดความขุ่นเคืองใจ เมื่อผู้อื่นไม่ยอมรับความจริง ก็ต้องเป็นอกุศล ไม่ดีแล้วในขณะที่เกิดความโกรธไม่พอใจ โทสมูลจิต (จิตที่มีโทสะเป็นมูล) เกิดขึ้นเป็นไปแล้วในขณะนั้น พระธรรมไม่ได้สาธารณะกับทุกคน พระธรรม ควรกล่าวแก่ผู้ที่มีความประสงค์จะฟัง ถ้าเขาไม่สนใจฟัง ย่อมไม่เกิดประโยชน์กับผู้นั้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...