ไม่ใช่เราที่พิจารณาธัมมะ?
ขณะที่พิจารณาธรรม หรือ ขณะที่สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ขณะนั้นย่อมไม่ใช่เรา เพราะสติก็เป็นธัมมะ เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร
สติก็เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ไม่ใช่การที่เราไปทำสติขึ้นมาเพราะนั่นก็ไม่ใช่สติแล้ว ก็จะเป็นมิจฉาสติ เป็นโลภะ เป็นโมหะ ผมเข้าใจถูกใช่มั้ยครับ?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถูกต้องครับ ขึ้นชื่อว่า ธรรมแล้ว ย่อมเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ แม้สติ ก็เป็นธรรมและเป็นอนัตตา อาศัยเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้น โดยเฉพาะสติปัฏฐานที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ต้องมีปัญญาเกิดร่วมด้วยและได้อบรมปัญญาความเข้าใจถูกในขั้นการฟังอย่างยาวนานและมั่นคงมามากแล้ว จึงจะเป็นเหตุปัจจัยให้สติเกิด ที่เป็นสติปัฏฐาน เช้าใจถูกในสภาพธรรมในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ครับ เพราะฉะนั้น จะทำให้สติเกิดขึ้น ก็คือ ความต้องการที่เป็นโลภะ ไม่ใช่สติ ครับ
เชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ที่นี่ ครับ
ส. ที่จริงแล้วการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจขึ้น แล้วไม่ห่วงกังวลเรื่องสติปัฏฐานเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าโดยมากไปตั้งต้นที่สูงสุดคือยอด โดยที่พื้นฐานของเรายังไม่พอ จึงไม่ใช่สติปัฏฐาน หรืออาจจะมีความหวังว่า อยากจะให้สติปัฏฐานเกิดมากๆ ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องละความหวัง แต่ว่าพระธรรมที่ลืมไม่ได้เลย คือว่าเพื่อละ เพราะว่าตั้งแต่เราเกิดมา เราไม่เคยคิดที่จะละ ทั้งวัน เราก็มีความหวังว่าจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ หรือว่า ทำอย่างนั้นเพื่อสิ่งนี้ แต่ถ้าศึกษาพระธรรมจริงๆ แล้ว จะเห็นได้ว่า ตรงกันข้ามกับทางโลก เพราะเหตุว่าทางโลกเป็นทางได้ แต่ว่าทางธรรมะเป็นเรื่องละ อย่างที่กล่าวถึงในตอนเช้าที่ว่า เราเคยรู้สึกตัวบ้างไหมว่า เรามีกิเลสมากมาย แล้วเราก็คิดถึงพระนิพพาน พอมีกิเลสมากก็คิดถึงพระนิพพาน แต่ทำไมไม่คิดถึงที่จะเป็นคนดีเพิ่มขึ้น เพื่อจะถึงพระนิพพาน เพราะว่าถ้ายังเต็มไปด้วยกิเลส หรือว่าความไม่ดี ไม่มีทางเลยที่จะถึง อย่างไร อย่างไรก็ถึงไม่ได้ แล้วสำหรับความดีก็มีหลายขั้น ถ้าเป็นความดีที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ก็ไม่ถึงนิพพานเหมือนกัน เพราะเหตุว่าผลของความดีที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา ไม่เป็นเหตุให้ออกจากสังสารวัฏฏ์ ซึ่งพูดถึงสังสารวัฏฏ์ ก็คือขณะนี้ที่กำลังเห็น แล้วก็กำลังได้ยิน กำลังคิดนึก ทุกขณะจิตที่เปลี่ยน หรือดับไป หมดไป จากทางตาไปสู่ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นอย่างนี้ตลอด เมื่อวานนี้ก็เป็นอย่างนี้ วันนี้ก็เป็นอย่างนี้ ต่อไปก็เป็นอย่างนี้ ข้างหน้าอีกแสนโกฏิกัปป์ก็ไม่พ้นจากความเป็นอย่างนี้เลย
เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นอย่างนี้ คือ เกิดมาแล้วก็ต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องคิดนึก ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส แล้วก็ถ้าเป็นเรื่องอื่น ก็คือถึงจะมีความรู้มากเท่าไร ก็ไม่สามารถที่จะออกจากสังสารวัฏฏ์
เพราะฉะนั้น ธรรมะเป็นเรื่องละเอียด มิฉะนั้นไม่ทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา โดยง่ายๆ ว่า ขอให้พูดเรื่องสติปัฏฐาน จบ ก็จะไม่มีพระธรรมส่วนอื่นเลย แต่เพราะเหตุว่ากิเลสมีมาก แล้วก็ทุกคนเคยหวังที่จะได้ ไม่เคยคิดที่จะละ ก็ให้กลับมาตั้งต้นใหม่ คือแทนที่จะคิดถึงพระนิพพาน ซึ่งถึงได้ แต่ไม่ใช่วันนี้ หรือพรุ่งนี้ ถึงได้เมื่อมีปัญญา ฟังพระธรรม แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วก็เห็นประโยชน์ว่า การฟังนั้นไม่ใช่เพื่อเพียงความรู้ แต่เพื่อที่จะละกิเลส ซึ่งอย่างอื่นไม่สามารถจะละได้ นอกจากความเข้าใจจริงๆ
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคิดถึงเรื่องสติปัฏฐานก็ได้ แต่ว่าคิดถึงเรื่องความเข้าใจธรรมะให้เพิ่มขึ้น เมื่อมีความเข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้น ก็จะเป็นหนทางที่จะทำให้สติมีการระลึก แล้วก็สามารถเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏตามที่ได้ศึกษาแล้ว ตรงตามความเป็นจริงทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญ คือ ปัญญาความเข้าใจที่ต้องเริ่มตั้งแต่ตอนต้น แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องสติปัฏฐานเลย เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะให้สติระลึกลักษณะของสภาพธรรมะที่กำลังมีเดี๋ยวนี้จริงๆ สติก็เกิดได้ ปัญญาก็สามารถที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่าเคยฟัง เคยเข้าใจ เคยพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมะโดยขั้นเข้าใจมาแล้ว
เพราะฉะนั้น เมื่อใดที่สติเกิดระลึกได้ ก็สามารถที่จะรู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมะในขณะนี้ ก็ลืมเรื่องสติปัฏฐานไปก่อนก็ได้ แต่ว่าให้มีความเข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้น
ทั้งหมดนี้เพื่อละ เพื่อละความต้องการที่จะให้สติเกิด มิฉะนั้นก็อาจจะเป็นการส่งเสริม แล้วก็มีการทำ พยายามทำหลายๆ ทาง แต่ลืมเรื่องอกุศลของตัวเอง แล้วก็ลืมเรื่องความรู้ที่จะต้องเพิ่มขึ้น
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น แต่ธรรมเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่มีใครทำอะไรให้เกิดขึ้นได้ มีแต่ความเป็นไปของสภาพธรรมที่มีจริงเท่านั้นเอง
การฟังพระธรรมให้เข้าใจ ในสิ่งที่กำลังฟัง บ่อยๆ เนืองๆ สังขารขันธ์ย่อมปรุงแต่งน้อมไปให้พิจารณาและเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่ตัวตนที่พิจารณา และ ขณะที่กำลังฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม นี้ ย่อมมีการน้อมไปในทางที่ถูกที่ควร เป็นการอบรมความเห็นถูก เข้าใจถูก ในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ซึ่งเป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรมเท่านั้น กล่าวคือ กุศลจิต และเจตสิกธรรมที่เกิดร่วมด้วย
ซึ่งจะต้องอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาไปตามลำดับ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ขณะที่ฟังพระธรรม ก็น้อมไปแล้วสู่การฟังพระธรรม ไม่มีตัวตนสัตว์บุคคล ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...