ละแล้วไม่ปิดกั้นปัญญา
ข้อความบางส่วนจากการสนทนาธรรมที่ มศพ. วันอังคารที่ ๒๖ เม.ย. ๕๙
# มีสิ่งเดียวที่พ้นจากโลก คือ ธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ ... นิพพาน
# ไม่มีใครจับดอกมะลิ มีเพียงธรรม มีธาตุรู้เกิดขึ้นกระทบแข็ง ทั้งหมดเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง
# จิตรู้ได้ทุกอย่าง สิ่งที่จิตรู้เท่านั้นเป็นอารมณ์ของจิตในขณะนั้น (เสียงในป่ามีจริง แต่ไม่ใช่อารมณ์ของจิตเพราะไม่ได้ยิน)
# คำเท็จทำให้คำจริงสูญสิ้นไป
# หนทางติด ไม่ใช่หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
# ศึกษาธรรมด้วยความเคารพ คือ ไม่คิดเอง
# ธรรมเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา ไม่ใช่ใคร
# ปัญญารู้ความจริงของสภาพธรรมตามปกติ ไม่ต้องมีตัวตนไปทำให้ผิดปกติ
# ถ้าคิดว่า "แล้วเราจะทำ/พิจารณาอย่างไร?" ผิด คือ ไม่มีปัญญาที่เข้าใจถูก ไม่เข้าใจธรรมว่าเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้
# คำสอนที่ทรงแสดทั้งหมดเพื่อให้เข้าใจว่า ไม่มีเรา
# การศึกษาธรรม คือ ให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในชีวิตประจำวัน
# ทุกอย่างที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตายเป็นธรรม แต่ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
# ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา)
# อุบาสกอุบาสิกา คือ ผู้นั่งใกล้เพื่อฟังธรรม
# ประมาทคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เลย ไม่สามารถเข้าใจได้ในทันที (นอกจากผู้ที่ได้สะสมความเข้าใจมาแล้ว) ต้องสะสมความเข้าใจถูก ความเห็นถูก
## หนทางละต้องเป็นหนทางละ ละแล้วเบิกบาน ไม่ติดข้อง ไม่ปิดกั้นปัญญา
# ไม่พอ เพราะมีตัวตนแทรกตลอดเวลา
# ใครทำสมาธิ? โลภะทำแน่ๆ
อนุโมทนาในคุณความดีและกราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ