ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุเทศบาลนครนนทบุรี ๒๘ เมษายน ๒๕๕๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันพฤหัสบดี ที่ ๒๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญเพื่อไปสนทนาธรรมที่ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุเทศบาลนครนนทบุรี ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐-๑๕.๓๐ น. โดยมีคุณดาวรุ่ง สกุลทองใบ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ เลขที่ ๑๑๘๔ เป็นผู้ประสานงาน
ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุเทศบาลนครนนทบุรี เป็นสถานที่ที่ทางเทศบาลนครนนทบุรีจัดสร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัยให้มีศักยภาพในการพึ่งพาตนเองและใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ โดยท่านที่มีอายุตั้งแต่ ๔๕ ปี ขึ้นไป สามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อใช้บริการและร่วมกิจกรรมต่างๆ ในศูนย์ฯ ซึ่งเน้นการออกกำลังกายเป็นหลัก เช่น โยคะ ลีลาศ ปิงปอง ร้องเพลง เป็นต้น
เมื่อเดินทางไปถึงก็พบกับผู้สูงอายุจำนวนมากในบริเวณห้องโถงทางเข้า เมื่อเห็นว่ามีผู้รอลิฟท์เป็นจำนวนมากจึงเดินขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องสนทนาธรรม ถ้าจำไม่ผิดจะอยู่ชั้น ๖ ซึ่งเป็นชั้นบนสุด ระหว่างทางก็พบว่ามีผู้สูงอายุมาออกกำลังกายเล่นปิงปอง ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน และนั่งสนทนากัน ดูมีความสุขที่ได้มีเพื่อนคุย ไม่ต้องนั่งเหงาอยู่บ้านไปวันๆ
ในห้องสนทนาธรรมก็มีผู้สนใจทยอยเดินทางเข้าร่วมฟังเป็นจำนวนมาก แม้ในช่วงต้นของการสนทนาจะมีปัญหาเรื่องเสียงที่ผู้ที่นั่งด้านหลังไม่ได้ยิน กับทั้งไม่ได้เห็นหน้าท่านวิทยากรขณะมีการสนทนา แต่คุณเอ็ม (วรศักดิ์) เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯผู้มากความสามารถ ก็แก้ไขให้ทางศูนย์มาต่อสายขึ้นจอภาพใหญ่บนเวทีจนสำเร็จ คุณเอ็ม (วรศักดิ์) เป็นรุ่นน้องของข้าพเจ้าสมัยเรียนที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อนเพราะห่างกันหลายปี พบกันที่มูลนิธิฯก็ทราบว่าน้องเคยเป็นประธานชมรมพุทธฯที่ มช. จะเห็นถึงความสะสมบุญแต่ปางก่อน ดังที่ทรงตรัสไว้ หาไม่แล้ว บุคคลจะมีอะไรเป็นที่พึ่งได้ในสังสารวัฏฏ์ หากไม่สะสมบุญคือความเข้าใจความจริงที่ถูกต้องของชีวิตตามที่ได้ทรงตรัสรู้ ว่าแท้ที่จริงแล้ว หาได้มีตัวตน คน สัตว์ใดๆ ทั้งสิ้น อย่างที่บุคคลที่ไม่ได้ศึกษาเคยเข้าใจ ทั้งหมดที่คิดว่ามีเรา มีคนโน้น มีคนนี้ ก็เป็นแต่เพียงจิต เจตสิก และรูป เท่านั้น ที่เกิดขึ้นและดับไปในทุกๆ ขณะนี้ ตามเหตุ ตามปัจจัย และเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อรู้ความจริงที่ถูกต้อง บุคคลย่อมน้อมไปสู่กุศลธรรมคือความดีทุกประการ อันจะเป็นที่พึ่งอันยอดเยี่ยมไปจนตลอดหนทางในสังสารวัฏฏ์ "ทำดีและศึกษาพระธรรม" คือ เป้าหมายที่แท้จริงแห่งการมีคุณภาพชีวิตที่ยอดเยี่ยมที่สุดของการมีชีวิตอยู่
จะประโยชน์อะไรกับการได้เกิดมาแล้วก็ตายไปโดยเปล่าทุกชาติๆ และแม้กระนั้น การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาติหนึ่งๆ ก็ทรงแสดงว่าเป็นไปโดยยาก เพราะเหตุว่า บุคคลที่ไม่เข้าใจธรรม ความจริงของชีวิต ย่อมมีชีวิตที่เป็นไปกับอกุศลทั้งวัน บางวันกุศลจิตไม่เกิดเลย สะสมแต่อกุศลทั้งวันโดยไม่รู้ตัว เช่นนี้แล้วก็รู้ได้ว่า เพราะเหตุใด การที่จะได้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์อีกจึงแสนยากตามที่ทรงแสดงไว้ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เกิดได้โดยง่ายเพราะเหตุของอกุศลกรรม (ซึ่งทำได้โดยง่าย) การได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรม และเมื่อมีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ที่จะได้พบกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้พบคำสอนที่ถูกต้องของความจริงที่มีอยู่จริงๆ ในชีวิต ก็แสนยาก แม้ได้พบแล้ว ที่จะมีความเข้าใจความจริงโดยถูกต้องตรงตามที่ได้ทรงตรัสรู้และทรงแสดงก็แสนยากอีก หากมิได้เป็นผู้ที่สะสมความเข้าใจมาแต่ปางก่อน ย่อมไม่เป็นผู้ที่สนใจจะฟัง น่าเสียดายอย่างยิ่งที่บุคคลจะเป็นผู้ที่ว่างเปล่าจากสาระในชีวิต มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เพื่อรอความตายเท่านั้น น่าเสียดายที่มิได้สะสมเสบียงที่มีค่าที่สุด เพื่อความงอกงามไพบูลย์ของหนทางของตนเองในสังสารวัฏฏ์ ซึ่งก็คือ ความเข้าใจธรรมะ อันจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริง หนึ่งเดียวของหมู่สัตว์ทั้งหลาย ไม่มีอื่น!!!
ระหว่างการสนทนา มีท่านหนึ่งลุกขึ้นสนทนากับท่านอาจารย์ว่า ที่มาวันนี้ก็นึกว่าจะมีการปฏิบัติหรือมีวิธีทำสมาธิ วิปัสสนา ที่จะเอาไปปฏิบัติ ทำให้เรามีสติทุกขณะจิต การที่บุคคลเจ็บอาจจะมีสาเหตุอื่น ไม่ใช่โทษกรรมที่เราทำมา ถ้าเราไม่ได้ฝึกสติให้มีอยู่ตลอดเวลา เราก็โทษธรรมชาติ โทษกรรม เราจะเปลี่ยนชีวิตของเราไม่ได้เลย เราจะเปลี่ยนอวิชชาที่เราไม่มีความรู้ เป็นปัญญาไม่ได้เลย ถ้าสอนแบบนี้ ฯลฯ เมื่อท่านอาจารย์ถามกลับ (เพื่อประโยชน์คือความเข้าใจที่ถูกต้องของผู้สนทนาเอง) ท่านผู้นั้นก็ตอบเลี่ยงไปหมด ว่าไม่ได้พูดว่าอย่างนั้น ไม่ได้หมายความว่าอย่างนี้ พร้อมยกสองมือขึ้น เหมือนตั้งกำแพง (ป้องกันตนเอง) ว่าไม่ใช่ๆ ข้าพเจ้าเข้าใจว่า หากได้พิจารณาเหตุผลในภายหลัง ก็ย่อมจะเป็นประโยชน์แก่ตนนั้นเอง ที่จะรู้ว่า ที่ว่าไม่ใช่ๆ อย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น เพราะความรักตัว ปกป้องตัว เพราะไม่รู้ว่า ไม่มีตัว ไม่มีตน มีแต่ธรรม มีแต่ความไม่รู้ กับ ความรู้ บางคนพูดคำว่าอวิชชา กับวิชชาคล่องปากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ไม่รู้จักเลยว่า อวิชชาคือความไม่รู้นั้น ไม่รู้อะไร? ที่ว่าไม่รู้ ก็คือ ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เป็นแต่ธรรมะที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น หามีเรา มีเขาอย่างที่เคยเข้าใจไม่ มิจฉาทิฏฐิ คือความเห็นผิด ร้ายแรงนัก ทรงแสดงโทษของความเห็นผิดว่าเป็นอันตรายอย่างยิ่งแก่บุคคลนั้นเอง ในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรามองไม่เห็นธรรมอื่นแม้สักอย่างหนึ่ง ซึ่งมีโทษมากเหมือนอย่างมิจฉาทิฏฐินี้เลย, ในบรรดาโทษทั้งหลาย มิจฉาทิฏฐิมีโทษอย่างยิ่ง" อนึ่ง มีคำกล่าวประทับใจที่แนบแน่นในหัวใจของข้าพเจ้ามานานแล้วว่า ผู้ที่รู้ว่าตนเองไม่รู้ ย่อมดีกว่า ผู้ที่ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้!!! เพราะเหตุใด? เพราะผู้ที่รู้ว่าตนเองไม่รู้ จึงสนใจว่า ที่ตนเองไม่รู้นั้น ไม่รู้อะไร และจะรู้ได้อย่างไร? แต่สำหรับผู้ที่ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้นั้นน่าสงสารเป็นที่สุด เพราะเหตุว่า ไม่รู้ว่าตนเองไม่รู้ จึงไม่สนใจไขว่คว้าหาความรู้ที่ถูกต้อง ที่ควรรู้ เพราะความรักตน จึงพยายามปกป้องตน คำพูดที่ว่ารู้แล้วๆ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ที่ถูกโลภะหลอกลวงอย่างแนบเนียน น่าสงสารเป็นที่สุด
มิตรที่ดี มิตรที่แท้ จึงเตือนกันด้วยพระธรรมที่ถูกต้องจากที่ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ให้เราเข้าใจได้ ท่านอาจารย์กล่าวโดยบ่อยด้วยความเมตตาอย่างยิ่งว่า เมื่อมีโอกาสได้พบกัน ก็ให้กันในสิ่งที่เลิศกว่าสิ่งใดๆ มีค่ายิ่งกว่ารัตนะใดในสากลจักรวาล คือ "ให้ความเข้าใจความจริงที่ถูกต้อง" ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้เมตตาให้ความเข้าใจสิ่งที่มีค่ายิ่งสำหรับการได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ไม่มีสิ่งมีค่าใดยิ่งไปกว่าความเข้าใจธรรมะที่ท่านเมตตาแสดงแก่ทุกคนโดยเสมอเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกที่รักมักที่ชังมานานกว่าหกสิบปีแล้ว พูดถึงเวลาหกสิบปี มีเรื่องเล่าเพิ่มเติมว่า ตอนที่คุณดาวรุ่ง สกุลทองใบ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ จังหวัดนนทบุรี กล่าวแนะนำว่า ท่านอาจารย์อายุ ๙๐ ปีแล้ว ทุกคนส่งเสียงอื้ออึงแบบไม่เชื่อว่าท่านอาจารย์จะมีอายุมากดังที่กล่าว
นอกจากท่านอาจารย์จะเป็นตัวอย่างของผู้สูงอายุที่มีคุณภาพชีวิตที่ยอดเยี่ยมแห่งยุคสมัย อย่างที่บุคคลใดจะสามารถเป็นได้โดยง่ายแล้ว ท่านอาจารย์ยังเป็นตัวอย่างของผู้สูงวัยที่มีสุขภาพดีและบำเพ็ญสิ่งที่เลิศที่สุด มีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยแท้ สมกับเป็นมหาอุบาสิกาในพระศาสนาของพระสมณโคดม ที่บุคคลในสมัยของพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า ปีติโสมนัสเมื่อรู้ว่าจะมีโอกาสรู้ความจริงได้ในสมัยของพระสมณโคดมในอีกสี่อสงไขยแสนกัปจากสมัยนั้น สำหรับเราท่านทั้งหลายในปัจจุบัน แม้ไม่ได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่การที่ได้มีคำสอนที่ยังคงดำรงอยู่ ทำให้ได้เข้าใจความจริงที่ถูกต้องจากความเมตตาของท่านอาจารย์ที่นำมาเผยแพร่ให้เราเข้าใจได้ สะสมไป สะสมไป ก็เหมือนกับได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" กราบเท้าท่านอาจารย์อีกครั้งหนึ่งครับ ชาตินี้ แม้จะตายก็ไม่สูญเปล่าแล้วครับ
อันดับต่อไป ขออนุญาตนำความการสนทนาบางตอนในวันนั้นมาให้ทุกท่านได้พิจารณาอีกครั้งหนึ่งเช่นเคย เป็นช่วงท้ายของการสนทนาในบ่ายวันนั้น ที่เด็กชายกฤษณะ ซึ่งเดินทางมากับคุณแม่และคุณยาย กฤษณะตอบคำถามของท่านอาจารย์ได้อย่างน่าทึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเด็กตัวเล็กๆ จะสามารถสนทนาโต้ตอบคำถามธรรมะได้ตรงตามความจริงด้วยตัวเอง กฤษณะบอกว่าที่ตอบได้ เพราะได้ฟังท่านอาจารย์ขณะอยู่บ้านกับคุณยาย ขออนุโมทนาคุณยายด้วยนะครับ
ดช.กฤษณะ ถามว่า เวลาที่จะมีสมาธิ จะต้องมีสมาธิตอนนั่งสมาธิอย่างเดียวหรือเปล่าครับ?
ท่านอาจารย์ รู้จักสมาธิหรือยังคะ?
ดช.กฤษณะ ไม่รู้ครับ
ท่านอาจารย์ พูดถึงอะไร?
ดช.กฤษณะ พูดถึงเวลานั่งสมาธิ
ท่านอาจารย์ นั่นสิคะ ก็ไม่รู้จักสมาธิ แล้วพูดถึงอะไร? พูดถึงอะไรก็ไม่รู้ ก่อนอื่น ต้องรู้ทุกคำที่พูด ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นปัญญา รู้ได้ เข้าใจได้ แต่ต้องฟัง ว่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร พระองค์ตรัสให้เข้าใจ สมาธิคืออะไร? มีจริงหรือเปล่า? แล้วใครบอกให้พูดเรื่องสมาธิ? เอามาจากไหน? คิดเองหรือเปล่า? เกิดมา ได้ยินคำว่าสมาธิเลยหรือเปล่า?
ดช.กฤษณะ เปล่าครับ
ท่านอาจารย์ แล้วได้ยินคำนี้จากไหน?
ดช.กฤษณะ ก็ได้ยินจากที่เคยได้ยินครับ
ท่านอาจารย์ จากที่เคยได้ยิน เขาว่าสมาธิคืออะไร? ที่เคยได้ยิน หรือว่า ไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร แต่ให้ทำสมาธิ
ดช.กฤษณะ ไม่รู้ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไรแต่ให้ทำสมาธิหรือเปล่าคะ?
ดช.กฤษณะ ครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะให้ทำสิ่งที่ไม่รู้ ทำทำไม? ในเมื่อไม่รู้!! เป็นประโยชน์ไหม? ทำไปก็ไม่รู้ เพราะ ทำอะไรก็ไม่รู้ ก็ไม่รู้ไปเรื่อยๆ แล้วจะมีประโยชน์ไหม? เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ได้ยินคำไหนอย่าเพิ่งเชื่อ อย่าเพิ่งทำ อย่าเพิ่งตาม แต่ต้องเข้าใจก่อนว่า คืออะไร? อยากทราบไหม สมาธิคืออะไร
ดช.กฤษณะ อยากครับ
ท่านอาจารย์ ขอเชิญคุณอรรณพค่ะ
อ.อรรณพ เริ่มต้นต้องเข้าใจก่อนว่า สิ่งที่เรากำลังพูดกันอยู่นี้คืออะไร พอเราพูดคำว่า "สมาธิ" เราก็ควรเข้าใจก่อนว่า สมาธิ คือ อะไร? สมาธิ คือ "ความตั้งมั่น" ความตั้งมั่นของจิต ซึ่งตั้งมั่นที่ไม่ดีก็มี ตั้งมั่นที่ดีก็มี อย่างพวกโจรที่เขามีสมาธิในการงัดแงะ วางแผนอย่างรอบคอบ เขามีความตั้งมั่นในการกระทำของเขาไหม? การตั้งมั่นอย่างนั้นดีไหม?
ดช.กฤษณะ ไม่ดีครับ
อ.อรรณพ ไม่ดีใช่ไหม อย่างโจรนี่มีอาชีพที่เขางัดแงะอะไรไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลย เขามีความตั้งมั่นในเรื่องนั้นๆ อย่างมั่นคง แต่การตั้งมั่นอย่างนั้นเป็นอกุศล อกุศเป็นสิ่งที่ไม่ดี เพราะฉะนั้น สมาธิอย่างนั้นจึงเป็นอกุศลสมาธิ หรือพูดง่ายๆ ว่าตั้งมั่นไม่ดี ส่วนความตั้งมั่นที่ดีคือความตั้งมั่นในทางกุศล ขณะที่กำลังฟังแล้วเข้าใจขณะนี้ มีความตั้งมั่นสั้นๆ ไหม? จิตขณะนี้ ขณะที่หนูกำลังฟังอยู่ตอนนี้ กำลังเห็นประโยชน์ว่า ควรจะเข้าใจคำว่าสมาธิก่อน เพราะเมื่อกี้นี้หนูก็ตรงมาก บอกว่าไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร เพราะเพียงแต่ผู้ใหญ่สอนว่าให้ทำสมาธิ ก็เลยสงสัยว่า ตอนที่จะให้มีสมาธินั้น ตอนนั่งอย่างเดียวหรือเปล่า หรือตอนที่ไม่ได้นั่งสมาธิจะมีสมาธิไหม?
เพราะฉะนั้น สรุปว่า สมาธิ คือ ความตั้งมั่น ถ้าตั้งมั่นไม่ดีก็เป็นสมาธิที่ไม่ดี อย่างพวกโจรเป็นต้น เขาก็ตั้งมั่นมากไม่วอกแวกเลย รอบคอบมากไม่ลืมโน่นไม่ลืมนี่ แล้วเขาก็ไม่มีสติด้วย เพราะว่าเขาหลงลืมในสิ่งที่ดี ไปทำสิ่งที่ไม่ดี ใช่ไหม? ทีนี้สมาธิที่ดีที่เป็นกุศลก็มี เป็นกุศลสมาธิ ซึ่งกุศลสมาธิต้องเป็นความตั้งมั่นที่ดีในขณะที่เป็นกุศล เพราะฉะนั้น ถามหนูว่า ถ้าไม่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดีคือกุศล และไม่รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ไม่ดีคืออกุศล คนที่ไม่รู้เขาจะมีความตั้งมั่นที่ดีได้ไหม? เพราะเขาไม่รู้ว่าความตั้งมั่นที่ไม่ดี ต่างกับความตั้งมั่นที่ดีอย่างไร จะมีความตั้งมั่นคือสมาธิที่ดีได้ไหม? ถ้าไม่มีความเข้าใจอะไรเลย...ในเมื่อเราไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไรยังไม่รู้ แล้วเราจะไปทำสิ่งที่เราไม่รู้ สมควรไหม?
ท่านอาจารย์ ก็ต้องขอบคุณนะคะ เพราะว่า คำถามใดๆ ทั้งสิ้นจะทำให้เราได้ยินสิ่งซึ่งอีกแบบหนึ่งซึ่งเราไม่เคยฟัง เพราะว่าไม่ใช่เพียงความคิดเอาเอง เพราะฉะนั้น ขอถามผู้ใหญ่ด้วย ถ้าไม่รู้จักธรรมะ จะรู้จักสมาธิไหม? เคยได้ยินคำว่าธรรมะไหม?
ดช.กฤษณะ เคยได้ยินครับ
ท่านอาจารย์ เคยนะคะ แล้วก็อาจจะ เขาว่าอย่างนั้น เขาว่าอย่างนี้ แต่ ณ วันนี้ ที่ฟังนี่ ธรรมะคืออะไร? ถ้ายังไม่เข้าใจ ก็ยังไม่เข้าใจสมาธิ เพราะฉะนั้น เราจะไม่พูดทุกอย่างเผิน เพราะทุกเรื่องนี่รู้สึกว่า พอพูดถึงสมาธิ ทุกคนสนใจ ไม่ได้สนใจธรรมะเท่ากับสมาธิ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร เพราะได้ยินคำที่ไม่รู้จัก แล้วก็ยังไม่ได้รู้จักจริงๆ แต่พอได้ยินคำว่าธรรมะ เหมือนรู้จักแล้ว แต่ความจริงไม่รู้จักธรรมะ เพราะว่า ประมาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่ฟังคำของพระองค์อย่างละเอียดที่จะรู้ว่า คำใดเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่ละคำ ทีละคำ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้จักธรรมะ จะรู้จักสมาธิไหม?
ดช.กฤษณะ ไม่ครับ
ท่านอาจารย์ ไม่ เพราะฉะนั้น ต้องรู้จักก่อน ธรรมะคืออะไร? ธรรมะมีจริงๆ ไหม?
ดช.กฤษณะ มีครับ
ท่านอาจารย์ มีจริงๆ นะคะ เดี๋ยวนี้มีธรรมะไหม?
ดช.กฤษณะ มีครับ
ท่านอาจารย์ มีสมาธิไหม? เดี๋ยวนี้
ดช.กฤษณะ มีครับ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่ว่า ยังไม่ได้เข้าใจละเอียด เพราะฉะนั้น จะรู้ได้เลยว่า ที่ถูกจริงๆ ไม่เหมือนที่คนอื่นคิด ไม่เหมือนที่ใครๆ คิดเลย ขณะที่กำลังได้ยิน กำลังได้ยินใช่ไหม?
ดช.กฤษณะ ครับ
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมะหรือเปล่า?
ดช.กฤษณะ เป็นครับ
ท่านอาจารย์ เป็นนะคะ มีสมาธิไหมขณะได้ยิน?
ดช.กฤษณะ มีครับ
ท่านอาจารย์ เก่ง แต่ก็ยังไม่รู้ว่า สมาธิ คือ อะไร? แค่ตอบได้จากการได้ฟังไม่นาน แต่ถ้าจะรู้ความจริงก็คือว่า เพียงแค่กระทบนิดเดียว แค่ "แข็ง" ปรากฏ จิตที่รู้แข็งได้เพราะมี "เอกัคตาเจตสิก" เกิดร่วมด้วย สภาพของเจตสิกนี้ ชื่ิอยาวเป็นภาษาบาลี ยังไม่ต้องจำ ฟังไว้เท่านั้นเองว่า "เอก" คือ "หนึ่ง" เอกัคตาเจตสิก เป็นสภาพของธรรมะที่ไม่ใช่จิต แต่ต้องเกิดกับจิตทุกประเภท เจตสิกนี้เกิดกับจิตทุกประเภท แสดงว่า ไม่ว่าขณะเห็น หรือขณะใดก็ตาม ที่ไหนก็ตามที่มีจิต ขณะนั้นต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย และเอกัคตาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท
เพราะฉะนั้น ขอให้รู้ความลึกซึ้ง แค่แตะ "แข็ง" ทำไมไม่รู้อย่างอื่น ทำไมไม่ใช่ "เสียง" ทำไมไม่ใช่ "กลิ่น" เพราะว่า ขณะนั้น เอกัคตาเจตสิก ตั้งมั่นที่แข็ง เพราะฉะนั้น จิตที่เกิดกับเอกัคตาเจตสิก จึงรู้เฉพาะแข็งอย่างเดียว นี่เป็นเหตุที่ จิตหนึ่งเกิดขึ้น รู้อารมณ์หนึ่ง รู้หลายๆ อารมณ์ไม่ได้ เพราะเหตุว่าจิตหนึ่งขณะเป็นสภาพรู้ และไม่ใช่รู้อย่างธรรมดา รู้แจ้งในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ
ฟ้ากับน้ำ เกือบจะเป็นสีเดียวกัน แต่จิตก็สามารถที่จะรู้ว่า ฟ้าเป็นฟ้า น้ำเป็นน้ำ ทองแท้กับทองเทียม ใครดูออกบ้าง? หยกมีตั้งหลายชนิด แม้พ่อค้าผู้ชำนาญหยกยังผิดได้ แต่จิตไม่ผิด เพราะเหตุว่าจิตเป็นสภาพที่รู้แจ้ง ไม่ใช่รู้ชื่อ แต่แล้วแต่ว่าจิตนั้นรู้อะไร ถ้าเป็นจิตที่รู้ทางตา เห็นแจ้งว่าสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้เป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นเสียงทางหู รู้เฉพาะเสียงนี้ เสียงที่กำลังปรากฏ แล้วยังจำ ซึ่งเป็นเจตสิกอีกประเภทหนึ่งซึ่งเกิดกับจิต ไม่ใช่จิต
เพราะฉะนั้น เสียงใครนี่ พอได้ยินรู้เลยใช่ไหม? แค่โทรศัพท์ ได้ยินเสียงไม่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าใคร นี่ก็คือจิตรู้เสียงทีละหนึ่งชัดเจน แล้วก็ยังมีสภาพจำซึ่งไม่ใช่เจตสิกที่เป็นเอกัคตาเจตสิกที่ตั้งมั่น นี่คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่เราจะเข้าใจแท้จริงในคำว่าสมาธิ จะต้องรู้เสียก่อนว่าเป็นจริง และเป็นธรรมะ ซึ่งไม่ใช่จิตแต่เป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม แต่นามธรรมที่เป็นเจตสิกมีหลากหลายมากถึง ๕๒ ประเภท บางชนิดก็เกิดกับจิตประเภทนั้น บางชนิดก็เกิดกับจิตประเภทนี้ แต่สำหรับเอกัคตาเจตสิก เกิดกับจิตทุกขณะ ทำให้จิตตั้งมั่นคือรู้เฉพาะอารมณ์เดียว ที่เอกัคตาเจตสิกเกิดกับจิตแล้วรู้อารมณ์นั้นพร้อมกัน
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเห็น เหมือนไม่เป็นสมาธิ ใช่ไหม? แค่เห็นนิดเดียว แค่ได้ยินนิดเดียว หมดแล้ว เหมือนไม่มีสมาธิ เพราะเหตุใด เพราะเหตุว่า จิตเกิดดับสืบต่อเร็วมากและเปลี่ยนอารมณ์ไปเรื่อยๆ เช่นขณะนี้ เหมือนเห็นกับได้ยินและคิดนึกพร้อมกันหมดเลย แต่ความจริงต้องทีละหนึ่ง เพราะฉะนั้น เอกัคตาเจตสิกที่เกิดกับจิตเห็น มีสิ่งที่ปรากฏ เพราะว่าเอกัคตาเจตสิกตั้งมั่น เพราะฉะนั้น ลักษณะของสมาธิ เป็นลักษณะที่ตั้งมั่น ถ้าจิตตั้งมั่นที่อารมณ์เดียว บ่อยๆ นานๆ ลักษณะสภาพของความตั้งมั่นก็ปรากฏ ที่ใช้คำว่าสมาธิ
เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่าสมาธิ เป็นคำจริง แต่ต้องมีสภาพธรรมะว่าได้แก่สภาพธรรมะอะไร ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก เจตสิกประเภทไหน? เจตสิกซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะ แต่ว่าเมื่อจิตเป็นสภาพที่มีเอกัคตาเจตสิกเกิดด้วย แต่ละหนึ่งขณะจิตจึงรู้เพียงสิ่งเดียวตลอด แต่ถ้าซ้ำกัน ซ้ำกัน บ่อยๆ ลักษณะที่ตั้งมั่นในอารมณ์นั้นก็ปรากฏ ก็ใช้อีกคำหนึ่งว่า สมาธิ
แต่ว่า มีทั้งอกุศลและกุศล เพราะอะไร? เพราะว่าเอกัคตาเจตสิกเกิดกับจิตทุกประเภท เมื่อเกิดกับจิตประเภทไหนก็เป็นประเภทนั้น ถ้าเกิดกับกุศลก็เป็นกุศล ถ้าเกิดกับอกุศลก็เป็นอกุศล ด้วยเหตุนี้ หนทางหรือข้อประพฤติปฏิบัติ การปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดที่เป็นการทำสมาธิ แต่ไม่มีปัญญา ความรู้ ความเข้าใจในสภาพธรรมะตามสมควรแก่ระดับขั้นของสมาธินั้น สมาธินั้นเป็นมิจฉาสมาธิทั้งหมด หมายความว่าเป็นอกุศล แล้วเราจะไปนั่งทำสมาธิที่เป็นอกุศลกันหรือ? เพราะเหตุว่า เราไม่มีความเข้าใจอะไรเลย
เพราะฉะนั้น กุศลขณะใดเกิดขึ้น แม้ขณะที่กำลังฟังธรรมะเดี๋ยวนี้ เป็นกุศลสมาธิ ดีกว่าไหม? ดีกว่าจะไปนั่งเฉยๆ แล้วไม่รู้อะไรเลย บอกให้นั่งก็นั่ง บอกให้จ้องก็จ้อง แล้วไม่มีความเข้าใจอะไรเลย นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!
เพราะฉะนั้น เมื่อนั้น ขณะนั้น ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อเมื่อได้ฟังแต่ละคำ แล้วก็เข้าใจคำนั้นขึ้น ลึกซึ้งขึ้น จนสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่เราไม่เคยได้ยินได้ฟังมา เป็นความจริง คือ ถ้าไม่เกิดขึ้นก็ไม่มี แต่เมื่อมีก็ชั่วคราวแสนสั้นเกินกว่าที่ใครจะประมาณได้ว่าสั้นแค่ไหน แล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย
เพราะฉะนั้น เราติดข้องในสิ่งที่ไม่มี เพราะจากไม่มีก็มีชั่วนิดเดียวแล้วก็หมดไปแล้วก็ไม่เหลือเลย ฟังไว้ ฟังไว้ เพราะเหตุว่า ปัญญาที่ได้ยินคำนี้ ยังไม่ถึงระดับที่จะละความติดข้องในความไม่ใช่เราที่ได้ยิน หรือว่าไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ที่ปรากฏ
นี่เป็นสิ่งซึ่ง ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าไม่ฟังคำของพระองค์เลย มืดสนิท มีแต่พระพุทธรูปซึ่งไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และถ้าได้ฟัง "คำอื่น" ก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก แต่พอได้ยิน "คำ" ซึ่งเป็น "คำจริง" มีจริงขณะนี้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น เริ่มเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ "แสนไกล"
เพราะฉะนั้น คำว่าอุบาสก อุบาสิกา ภาษาบาลีก็เป็น อุปาสก อุปาสิกา ใช้ตัว "ป" แทนตัว "บ" ความหมายก็คือว่า ผู้นั่งใกล้พระธรรม ผู้นั่งใกล้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่งใกล้พระรัตนตรัย เพราะเหตุว่า ถ้าอยู่ไกลก็ไม่ได้ยินได้ฟังอะไรเลยทั้งสิ้น ต่อเมื่อใดเข้าใกล้ เข้าใกล้ขึ้น จึงจะเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามที่พระองค์ตรัสไว้ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" แม้ว่าจะจับชายสังฆาฏิ เดินตามหลังพระองค์ไป แต่ไม่รู้ว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เข้าใจพระธรรม
เพราะฉะนั้น ชาวเมืองสาวัตถี ชาวเมืองเวสาลี พระนครราชคฤห์ ผู้คนทั้งหลายที่ไม่ได้ฟังพระธรรมเลย แม้พระองค์เสด็จบิณฑบาต ก็ไม่รู้ว่านั่นคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณดาวรุ่ง สกุลทองใบ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ นนทบุรี และ สมาชิกศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุเทศบาลนครนนทบุรี ทุกๆ ท่าน
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่านด้วยค่ะ
แม้ยังเด็ก แต่สามารถเข้าใจพระธรรมในระดับหนึ่ง น้องหนูได้สะสมความเข้าใจมากมายในอดีต ฉะนั้น ในชาตินี้จึงมีความสนใจตั้งแต่ยังเยาว์ น่าอนุโมทนาจริงๆ กว่าจะเกิดเป็นมนุษย์ก็ยากแสนยาก แต่เมื่อกุศลนำมาเกิด แล้ว ได้พบพระพุทธศาสนา ได้พบสัทบุรุษ ก็กล่าวได้ว่า เข้าใกล้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นโอกาสที่ยากยิ่ง อนุโมทนาค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณป้าดาวรุ่ง สกุลทองใบ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ นนทบุรี และ สมาชิกศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุเทศบาลนครนนทบุรี ทุกๆ ท่าน
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่งและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ