เป็นไปด้วยสังขารธรรม บังคับบัญชาไม่ได้
"ทุกขณะ จิตเกิดดับอย่างรวดเร็ว เป็นสังขารธรรมที่เกิดดับ ไม่ใช่เรา ไม่สามารถบังคับบัญชาได้
สิ่งที่ทำได้คือ การฟังและเข้าใจพระธรรมให้ถูกต้อง ทุกอย่างจะดำเนินไปตามเหตุปัจจัยเอง
เมื่อเกิดความเข้าใจถูกในพระธรรมที่เพิ่มพูนขึ้น ศรัทธา โยนิโสมนสิการ หิริ โอตัปปะ จะเพิ่มพูนตามสติและปัญญาเจตสิกที่เกิด เป็นหนทางการดำเนินชีวิตเข้าสู่อริยมรรคมีองค์๘"
ความเข้าใจในเรื่องแนวทางการการศึกษาพระธรรมที่กล่าวไว้ข้างต้น เป็นไปตามที่มูลนิธิฯชี้แนะหรือไม่อย่างไร ขอความกรุณาผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ
ขออนุโมทนาในความเห็นถูกครับ ธรรมจะทำหน้าที่เอง เป็นไปตามสังขารธรรมและสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่ง อาศัยการฟังพระธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้นก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา พร้อมๆ กับ เจตสิกที่ดีงามก็เจริญขึ้น ตามปัญญาที่เจริญขึ้นครับ
เชิญอ่านคำบรรยาย ท่านอาจารย์สุจินต์ดังนี้
เขาทำของเขาเองค่ะ สังขารขันธ์ปรุงแต่ง ค่อยๆ ปรุงไปเรื่อยๆ ให้รู้ว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาเลย ไม่ว่าจะเป็นสติขั้นไหน ขณะนี้กำลังมีสติขั้นฟัง อีกขณะอาจจะเป็นสติขั้นระลึกได้ มีลักษณะของสภาพธรรม หรือยังไม่มีก็ไม่เป็นไร ก็ฟังแล้วความเข้าใจก็เพิ่มขึ้น สังขารขันธ์ก็ปรุงแต่งให้เป็นความเข้าใจที่ละเอียดขึ้น เพิ่มขึ้น ลึกซึ้งขึ้น
ถ้ามีความเข้าใจไม่ต้องห่วงเรื่องสติปัฏฐาน แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจแล้ว หวังสักเท่าไร สติปัฏฐานก็เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความเข้าใจ สติปัฏฐานจะเกิดช้าหรือเร็ว มากหรือน้อย ไม่มีปัญหา เพราะว่าถ้าเกิดแล้วเข้าใจ ไม่ใช่เกิดแล้วก็ยังไม่เข้าใจ เราต้องเตรียมความเข้าใจไว้มากๆ พร้อมที่เมื่อสติเกิด สามารถเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมได้ เร็วกว่าคนที่ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย เพราะว่าเป็นเรื่องของสังขารขันธ์ที่จะปรุงแต่ง ถ้าเป็นเรื่องเราอยาก ก็เป็นเรื่องอกุศลธรรมฝ่ายโลภะเขาปรุงอีกเหมือนกัน เพราะว่าขณะนี้กำลังเห็น ถ้าสติปัฏฐานเกิด ต้องไม่ผิดปกติ เพียงแต่เข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะว่าเราเคยจำได้ เคยรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ หลังจากนั้นคิดนึกใช่ไหมคะ นี่เริ่มจะแยกเวลาที่สติปัฏฐานเกิด ก็รู้ว่าสิ่งนี้ปรากฏ และต่อจากนั้นคือคิดนึก ไม่มีใคร นอกจากสิ่งที่ปรากฏให้คิดต่างๆ โลกของความคิดนึกก็จะค่อยๆ ชัดขึ้นว่า แยกออกจากสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นเรื่องราววันหนึ่งๆ คิดจากสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพียงเท่านี้เราก็ต้องค่อยๆ ไต่ไปตามความเข้าใจนี้ จนกว่าจะชำนาญ จนกว่าจะรู้จริงๆ เวลาเห็นก็รู้เลยว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้คิดค่ะ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประการที่สำคัญการฟังแต่ละครั้ง ย่อมไม่ไร้ผล มีแต่จะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญาไปตามลำดับ จนกว่าจะถึงการดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้ในที่สุด ซึ่งไม่ใช่การบังคับ แต่กุศลธรรมซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงปฏิเสธความเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล อย่างสิ้นเชิง ซึ่งอีกความหมายหนึ่งของอนัตตา ที่ท่านแสดงไว้ในอรรถกถา เถรคาถา สรุปได้ว่า ธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตา คือ ไม่เป็นอิสระ เพราะไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...