ไม่อยากดูหนัง ฟังเพลงแล้ว

 
kukeart
วันที่  5 มิ.ย. 2559
หมายเลข  27854
อ่าน  1,815

การที่ไม่อยากดูหนัง หรือ ฟังเพลง เข้าใจว่า คือ ตัวเราที่ไม่อยากทำสิ่งนั้นๆ และทำให้ผมรู้สึกอึดอัด เป็นทุกข์ จากการไม่ได้ดู ไม่ได้ฟัง ผมจึงคิดว่า ไม่ใช่หนทางที่ถูก ดังนั้น เราควรดูหนัง ฟังเพลง ตามปกติ แต่ให้เข้าใจว่า ขณะนั้นไม่ใช่เรา ถูกไหมครับ แต่ก็เกรงว่าจะเป็นการพอกพูนกิเลสให้เพิ่มขึ้นจากการดูหนัง ฟังเพลงอีก เลยสับสน ไม่ทราบว่า จะงด หรือ จะทำต่อไปดีครับ รบกวนขอคำแนะนำจากท่านอาจารย์ด้วยครับ ขอบคุณครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 5 มิ.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ในชีวิตประจำวันของปุถุชนก็เป็นไปตามกิเลสที่สะสมมามาก สะสมอกุศลมามาก จิตก็น้อมไปในทางอกุศล มีการดูหนัง ดูละคร เป็นต้น ซึ่งก็เป็นไปตามการสะสมมาของแต่ละคน ว่าชอบสิ่งใด อาจไม่ดูละคร ก็ไปเล่นกีฬา ทำอะไรในสิ่งที่ชอบ ตามโลภะ ตามฉันทะที่ชอบในสิ่งใด สิ่งหนึ่ง ดังนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เลยที่จะไม่เป็นโลภะ หากเป็นผู้ตรงแล้วก็อยู่กับโลภะเกือบตลอดเวลา แม้ขณะนี้ ยังไม่ได้ดูละครก็ยังเป็นโลภะโดยไม่รู้ตัวเลยครับ ดังนั้นหนทางในการอบรมปัญญา เมื่อศึกษาพระธรรมก็จะรู้ว่าการละกิเลสต้องเป็นไปตามลำดับ กิเลสที่ต้องละอันดับแรกคือ ทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดที่ยึดถือว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน นั่นคือพระโสดาบันท่านละได้ ส่วนความติดข้อง ที่เป็นโลภะ ความยินดีพอใจในรูป เสียง... พระอนาคามีท่านถึงจะละได้ ดังนั้น การอบรมปัญญาจึงต้องเริ่มจากความเข้าใจถูกก่อนครับว่าปัญญาขั้นแรกรู้อะไร เพื่อที่จะละอะไร ดังนั้นปัญญาขั้นแรกคือเข้าใจความจริงที่เกิดแล้ว ว่าเป็นธรรมใช่เรา อกุศลมีจริง เป็นธรรมไม่ใชรา กุศลมีจริงเป็นธรรมใช่เรา ขณะนี้มีสภาพธรรม มีจริงเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เข้าใจตรงนี้ก่อนครับ คือ ละความเห็นผิดว่าเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตนก่อน จึงจะสามารถละโลภะได้ครับ จึงไม่ใช่หลีกหนีที่จะไม่มีโลภะ เพราะโลภะเกิดแล้วในขณะนี้ แต่อยู่ด้วยความเข้าใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา

แม้ขณะที่ดูละคร มีธรรมไหมครับ มีครับ ขณะที่พูดเรื่องละคร มีธรรมไหมครับ มีครับ ปัญญาควรรู้ว่าขณะนั้นว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา นี่คือหนทางการอบรมปัญญาที่ถูกต้องครับ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ เมื่อตอนที่ยังไมได้บวช ท่านไปดูมหรสพกัน ท่านก็ยังใช้ชีวิตปกติ แต่ท่านก็มีปัญญา สังเวชว่าแม้คนที่แสดงก็จะต้องตาย เราควรหาทางหลุดพ้น ดังนั้นปัญญาจึงสามารถเกิดตอนดูมหรสพได้ครับ

การศึกษาพระธรรม เมื่อปัญญาเจริญมากขึ้น ก็จะรู้ว่าสิ่งใดมีประโยชน์ สิ่งใดไม่มีประโยชน์กับชีวิต ก็จะค่อยๆ เสพคุ้นในสิ่งที่มีประโยชน์มากขึ้นคือการฟังพระธรรมและศึกษาพระธรรม พร้อมๆ กับการเป็นไปในอกุศลที่มีในชีวิตประจำวัน แต่ปัญญาก็สามารถเข้าใจความจริง แม้ขณะที่ใช้ชีวิตประจำวันไม่ว่าจะเป็น กุศล หรือ อกุศลครับ

การเสพคุ้นในสิ่งที่ทำให้กุศลเจริญนั้นเป็นสิ่งที่ดีและก็จะทำให้เห็นโทษของอกุศลตามกำลังปัญญา ส่วนโทษของอกุศลนั้นมีอยู่แล้วจะมากหรือจะน้อย แต่สะสมอกุศลมามากก็เป็นไปตามอกุศล แต่สำคัญที่แม้จะเป็นอกุศลมากมายในชีวิตประจำวัน เราก็แบ่งเวลา ไม่ทอดทิ้งพระธรรม เห็นประโยชน์ของการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะเป็นขณะที่ประเสริฐในการอบรมปัญญาครับ ซึ่ง การสะสมของกุศลและอกุศลคนละส่วนกันครับ เมื่อปัญญาถึงพร้อมก็สามารถดับกิเลสได้หมดที่สะสมมาครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 5 มิ.ย. 2559
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จะเห็นได้ว่าโลภะ ความติดข้องต้องการไม่เกิดเฉพาะตอนไปดูหนังฟังเพลง ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ไหน ก็ไม่พ้นไปจากโลภะ ความติดข้องต้องการ มีเป็นปกติประจำวัน ตั้งแต่ตื่นนอนมาแล้ว แล้วจะละได้อย่างไร ตราบใดที่ยังไม่ได้มีปัญญาถึงขั้นที่จะดับความยินดีพอใจในกาม ได้อย่างเด็ดขาดบรรลุถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ความยินดีพอใจในสิ่งเหล่านี้ ย่อมเกิดขึ้นมีเป็นธรรมดา เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น

สภาพธรรม ไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเลย ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม แม้ในขณะที่กำลังดูหนังฟังเพลง ก็มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป สภาพธรรมต่างๆ ก็มีพร้อมที่จะให้เราได้เข้าใจ พร้อมที่จะให้ได้รู้ชัด พร้อมที่จะให้ประจักษ์แจ้งได้ ที่สำคัญคือ ความเข้าใจถูก เห็นถูก อันเริ่มมาจากการฟัง การศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ไม่มีตัวตนที่จะไปบังคับให้ปัญญาเกิด ไม่มีตัวตนที่จะไปละกิเลส

และประการที่สำคัญแต่ละบุคคลที่เป็นปุถุชนย่อมมากไปด้วยกิเลสสะสมมาอย่างมากมายในสังสารวัฏฏ์ ยากที่จะละให้หมดสิ้นไปในทันทีทันใด ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ยังไม่สามารถละโลภะ ได้ จะต้องละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลก่อนโดยอาศัยการอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นทางเดียวจริงๆ ที่จะค่อยๆ ละคลายกิเลสไปตามลำดับ

แต่ละคนมีความประพฤติเป็นไปตามการสะสม สำหรับผู้ที่เห็นคุณค่าของการอบรมเจริญปัญญา เห็นว่าสิ่งใดก็ตามที่เสพคุ้นมากๆ จะทำให้เกิดอกุศลเพิ่มมากขึ้นท่านก็ไม่เข้าใกล้สิ่งเหล่านั้น จะให้เวลากับพระธรรม ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญา ก็เป็นไปตามการสะสม ไม่มีการบังคับ ไม่มีกฎที่ตายตัว ประการที่สำคัญที่สุด ขอเพียงเป็นผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม ไม่ขาดการฟัง ความเข้าใจถูกเห็นถูกก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น มีปัญญาเป็นที่พึ่ง และเมื่อมีปัญญาเป็นที่พึ่งแล้ว ปัญญาก็ทำกิจของปัญญา ทุกที่ทุกสถานการณ์ ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 5 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
kukeart
วันที่ 5 มิ.ย. 2559

ผมฟังอาจารย์สุจินต์ มาหลายเดือนแล้วครับ (ไม่แน่ใจว่าถึงหนึ่งปีรึยัง) สิ่งที่เปลี่ยนแปลงคือ ลดเวลาจากการดูหนัง ฟังเพลง ไปจากเมื่อก่อน ประมาณครึ่งต่อครึ่งเลยครับ (ฟังเพลงครึ่งวัน ฟังธรรม ครึ่งวัน จากเมื่อก่อน ฟังเพลงทั้งวัน) ลดเองครับ ไม่ได้บังคับ ไม่รู้สึก ทุกข์ใจ หรืออึดอัดใจ แต่ถ้าให้เลิกฟัง เลิกดูแบบเด็ดขาดเลย อันนี้ เริ่มอึดอัดแล้วครับ ก็คงเป็นกิเลสตัณหา ที่ได้สะสมมา ไม่ใช่เรา ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ ทุกท่านอีกครั้งครับ ที่แนะนำความรู้ ความเข้าใจ ที่เป็นประเสริฐยิ่งกับผมครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
peem
วันที่ 6 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wannee.s
วันที่ 8 มิ.ย. 2559

จะดูหนังหรือไม่ดูหนังก็หนีโลภะไม่พ้น นอกจากมีปัญญาเท่านั้นที่โลภะไม่ติดเลยค่ะ แต่ถ้าเข้าใจธรรมะอยู่ที่ไหนก็เจริญสติได้ แม้ขณะที่กำลังดูหนังค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
mild
วันที่ 8 มิ.ย. 2559

หนังละครเป็นแค่เพียงแต่ชี้ชวนให้คิดตาม ถ้าเห็นว่าไม่มีประโยชน์แต่มีโทษคือให้ติดข้องเพลิดเพลินจึงไม่ดูเองเป็นสังขารธรรมที่ปรุงแต่งแล้ว แต่ถ้าไม่ดูเพราะไม่อยากเป็นอกุศลไม่อยากติดข้องเป็นก็อกุศลเพราะเป็นตัวตนที่อยากจะไม่ติดข้อง ที่ติดข้องเพราะอยากที่จะไม่ติดข้อง ไม่ไช่ปัญญาที่เห็นประโยชน์ เมื่อรู้แล้วจึงละ เมื่อไม่รู้ก็ละไม่ได้ เมื่อรู้ผิดก็ละไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ แท้จริงแล้วเป็นเพียงธาตุต่างๆ ที่ทำกิจนั้นๆ ตามฐานะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
เพียงดิน
วันที่ 9 มิ.ย. 2559

สาธุ อนุโมทามิ ผมก็เป็นครับ ต้องฟังอาจารย์อีกนาน และตลอดไป

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
wirat.k
วันที่ 12 มิ.ย. 2559

ชีวิตก็เป็นไปตามการสะสม การที่ได้มีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่จะทำให้ความเข้าใจถูกค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละน้อยนับเป็นบุญอันประเสริฐ อัธยาศัยที่สะสมมาที่จะรักชอบสิ่งใดก็เป็นไปตามนั้น การดูหนังฟังเพลง ก็เป็นปกติของปุถุชนเช่นเราท่านทั้งหลายที่ยังไม่ถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ก็ห้ามไม่ได้ครับ เป็นสิ่งที่มีจริง...แต่ก็ยังดีที่ได้ฟังพระธรรมบ้าง

ขออนุโมทนาในความเห็นถูกที่ค่อยๆ เจริญขึ้นครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
papon
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
Woranan
วันที่ 14 มิ.ย. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ