พิจารณาธรรมในชีวิตประจำวัน

 
hetingsong
วันที่  13 มิ.ย. 2559
หมายเลข  27880
อ่าน  2,486

เมื่อศึกษาและฟังธรรมจากมูลนิธิฯแล้ว

เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตประจำวัน ดังนี้

พบว่าในชีวิตประจำวันมีการพิจารณาธรรมบ่อยขึ้น เช่นจากการมองรูปที่พอใจแล้ว เกิดสติติเตียนตนเองว่าเป็นจิตโลภ ตามมา ถึงแม้จะช้าและบางทีไม่ทันการ แต่ก็เริ่มเห็นแสงรำไรว่า หากฟังและเห็นจริงมากกว่านี้ จะเป็นทางที่ทำให้หลุดพ้นจากความไม่รู้ได้จริง

เพราะจากเมิ่อก่อนที่ไม่รู้และไม่เห็นภัยของโลภะเล็กๆ น้อยในแต่ละวันที่สะสมและคอยฉุดเราให้ลงไปในแม่น้ำโอฆะ เป็นภัยที่เกิดขึ้นทุกวัน แบบแนบเนียนในความคิดว่าเราดี เราถูก และเป็นเรา

สังเกตได้อีกว่าสติที่ระลึกรู้นี้จะมีกำลังหักห้ามเจตนาได้มากขึ้นหากมีความละอายและเกรงกลัวต่อภัยที่จะเกิดต่อตนเอง และเมื่อยิ่งเห็นภัยในความไม่รู้มากขึ้น ก็เป็นธรรมที่จะช่วยคลายจากความยึดมั่น ทำให้ลด ละ กำหนัดในตัณหาต่างๆ ได้จริง

การไม่ฟังธรรม ศึกษาและพิจารณาธรรมในแต่ละวันแต่ละขณะ ก็สังเกตุได้ว่า กิเลสทั้งนั้นที่เกิดขึ้น ความไม่รู้นี้หนาแน่น มากมายเหลือเกิน แต่เมื่อสติเกิดเห็นทุกข์ภัย ก็จะมีกำลังให้อดทนที่จะศึกษาและฟังธรรมต่อไป ทีละนิดทีละน้อย ความท้อใจเกิดแน่นอนเมื่อสติมาระลึกรู้ทีหลังว่าแพ้แก่กิเลสอีกแล้ว แต่ก็ได้คำปลอบใจว่าไม่ใช่เราเป็นธรรมที่เกิด บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นปุถุชนที่อ่อนแอต่อกิเลสเพราะเป็นทาสมาไม่รู้กี่ชาติ

ไม่มีเหตุผลใดให้เป็นข้ออ้างให้หยุดศึกษาธรรมต่อ เพราะรู้และเห็นแล้วว่าธรรมนี้เป็นเป็นสิ่งมีค่าสูงสุด การเกิดมาในชาตินี้ ได้พบและได้เห็นแล้ว เป็นบุญเหนือคณานับ การสะสมสมบัติใดๆ ในชาตินี้ก็ไม่เท่าได้ เหตุเพราะธรรมที่ตรงและจริงนี้เป็นเครื่องช่วยให้หลุดพ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏฏ์เป็นทางที่ทำให้พบอิสระจากกิเลสที่กักขังมานานแสนนาน

ขอบพระคุณและอนุโมทนา ผู้เผยแพร่ธรรมในมูลนิธิฯ รวมถึงสหายธรรมทุกท่านครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ชีวิตเป็นปกติที่มากด้วยอกุศล จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ขณะที่ยินดีติดข้อง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็เป็นโลภะ แม้ขณะนี้ ไม่ได้ทำบุญ แค่เห็น ก็ติดข้องแล้วโดยไม่รู้ตัว โลภะติดข้องได้ทุกอย่าง เว้นพระนิพพาน พระอรหันต์เท่านั้นที่จะละโลภะหมดสิ้นได้ หนทางการละกิเลส ละโลภะ จึงไม่ใช่การไม่ให้โลภะเกิด เพราะเป็นเรื่องเหลือวิสัย แต่ คือ เข้าใจความเป็นปกติของโลภะ และ ธรรมที่เกิดแล้วว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เป็นหนทางการดับกิเลส ครับ

คำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์

ต้องเห็นโลภะจึงละโลภะได้

เป็นคนที่ผิดปกติไหมคะ แต่เข้าใจความจริง เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง ด้วยความไม่รู้ก็ทำให้คิดไปต่างๆ นานา แม้แต่จะปราบโลภะ จะพยายามทำให้โลภะไม่เกิด แต่ด้วยความไม่รู้อะไรเลย ขณะนั้นก็ด้วยโลภะนั่นเองที่มีความต้องการอย่างนั้น เพราะฉะนั้นถ้าไม่เห็นตัวโลภะด้วยปัญญาจริงๆ ไม่สามารถจะละได้ และการละอกุศลต้องตามลำดับขั้น ละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงในขณะที่เห็น ไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่ปรากฏแล้วจะไปละโลภะได้อย่างไร ไม่มีทางเลย เรียกว่า “ข้าม” พยายามไปทำอย่างอื่น ซึ่งไม่ใช่หนทางที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งละเอียด คัมภีร ลึกซึ้ง เวลาที่โกรธ ต้องการอะไรคะ

สุกัญญา ก็ไม่ได้สิ่งที่พอใจ

สุ. ต้องการไม่ให้โกรธ ใช่ไหมคะ

สุกัญญา ใช่ค่ะ

สุ. ไม่ใช่รู้ลักษณะของโกรธซึ่งกำลังปรากฏว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา มิฉะนั้นแล้ว เมื่อไรจะถึงการละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้

เชิญคลิกฟังที่นี่ ครับ

ไม่เห็นโลภะ ไม่เห็นอวิชชา ก็ละไม่ได้

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาด้วยค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
khampan.a
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ความเป็นจริงของธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงได้ มีธรรมเกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอด ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมแล้ว ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริงได้เลย ก็ต้องตั้งต้นตั้งแต่คำแรกที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจโดยตลอด นั่นก็คือ คำว่าธรรม

คำว่า ธรรม เป็นคำมาจากภาษาบาลี แต่ถ้าเป็นคำไทยแล้วก็คือ สิ่งที่มีจริง แล้วสิ่งที่มีจริง นั้น คือ อะไร? คือ ขณะนี้หรือไม่ ที่กำลังเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย คิดนึก ขณะที่เป็นกุศล ความดีงามเกิดขึ้นเป็นไป มีเมตตา ให้ทานรักษาศีล ฟังพระธรรม ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น เป็นต้น หรือ ในทางตรงกันข้าม ขณะที่อกุศลเกิด ไม่ว่าจะเป็นความติดข้องยินดีพอใจ หรือความโกรธ ความขุ่นเคืองใจไม่พอใจ ตลอดจนถึงสภาพธรรมที่ไม่ดีประการอื่นๆ ล้วนเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งใครๆ ก็ปฏิเสธไม่ได้ นอกจากนั้นแล้วสิ่งที่มีจริง ที่ไม่ใช่สภาพรู้ คือ รูปธรรมก็มีจริงๆ เช่น สี มีจริงเสียงมีจริง กลิ่นมีจริง เป็นต้น เหล่านี้ทั้งหมดเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืนเลย ยิ่งถ้าได้สะสมความเข้าใจไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งจะมั่นคงว่า สิ่งที่มีจริงๆ นั้น คือ ขณะนี้ที่เป็นนามธรรมกับรูปธรรมนั่นเอง ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
peem
วันที่ 13 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
wannee.s
วันที่ 15 มิ.ย. 2559

ทุกอย่างเป็นธรรมะ แม้ว่าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็เป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ยากที่สุดคือการเข้าถึงอนัตตาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
kukeart
วันที่ 19 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
worrasak
วันที่ 19 มิ.ย. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ