บุญที่เสวยอยู่ในปัจจุบัน

 
ampnop
วันที่  27 มิ.ย. 2559
หมายเลข  27924
อ่าน  1,810

การที่บุคคลผู้หนึ่งสามารถเที่ยวไปหลอกลวงเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของของตนแล้วเสวยสุขอยู่บนกองทรัพย์นั้น อันว่าสุขเวทนาที่เกิดขึ้นหรือจะเกิดขึ้นนั้นย่อมมีเหตุแต่ผลแห่งบุญที่ผู้นั้นกระทำไว้แต่ในอดีตชาติ แต่เมื่อมองดูเหตุในปัจจุบันแล้วย่อมทำให้พลอยคิดว่า ทำไม่ดีได้ผลดีมีถมไป

อนึ่งผู้ที่จะได้รับผลดีนั้นย่อมเกิดแต่การสั่งสมเหตุที่ดีมาแล้วไฉนชาติปัจจุบันจึงหลงไปสั่งสมสิ่งอกุศลได้ เหตุแห่งการสั่งสมสิ่งที่ดีในอดีตไม่เกื้อกูลให้ประกอบกรรมดีต่อไปหรอกหรือ

ขอเรียนให้ท่านผู้รู้แก้ข้อสงสัยนี้ด้วยเถิดครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 27 มิ.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

การได้รับสิ่งที่ดี และ สิ่งที่ไม่ดี ที่เป็นผลของกรรมนั้น ต้องเป็นไปในขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัส เห็นสิ่งที่ดี ก็เพราะกรรมดีให้ผล เป็นผลของกรรมดี เห็นสิ่งที่ไม่ดีก็เป็นผลของกรรมไม่ดี เพราะอกุศลกรรมให้ผล ซึ่งผลของกรรม ไม่ใช่ ขณะที่คิดนึก ทุกข์ใจ เพราะขณะนั้นเป็นอกุศลจิต เพราะฉะนั้น สัตว์โลกก็เป็นไปตามกรรม ซึ่งไม่ได้เกิดมาเพียงชาตินี้ เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน และทำกรรมดีและไม่ดีนับชาติไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น ชาตินี้ปัจจุบัน จะเป็นคนดี หรือ ไม่ดีก็ตาม แต่ขณะที่ได้รับสิ่งที่ดี ในปัจจุบัน ก็เพราะกรรมที่ดี ให้ผล ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นกรรมไหนและชาติไหน เป็นกรรมในอดีตที่ให้ผลก็ได้ ส่วนผู้ที่ทำกรรมชั่วในปัจจุบัน ได้รับผลดีก็ได้ แต่ไม่ใช่เพราะกรรมชั่วนั้น แต่เป็นกรรมดีในอดีตที่ให้ผลอยู่ก็ได้ เพราะฉะนั้น การทำความเข้าใจคือ กรรมดี หรือ ไม่ดี มีกาลเวลาของการให้ผล กรรม นั้น มีกาลเวลาในการให้ผล ไม่ใช่ว่า ทำกรรมนั้นจะให้ผลทันที

เปรียบเหมือน การปลูกมะม่วง เพียงเพาะเมล็ดลงดิน รดน้ำทุกวัน 1 เดือน ไม่ใช่ว่าผลมะม่วงจะออกมา 1 เดือน แต่มีกาลเวลา คือ 3 ปี แม้จะอยาก หรือ พยายามเท่าไหร่ รดน้ำให้มากเท่าจำนวน 3 ปี ผลมะม่วงก็ไม่มีทางออกในระยะเวลา 1 เดือนได้เลยครับ กรรมชั่วที่ทำ แต่กรรมชั่วนั้น ยังไม่ให้ผล แต่ที่เราเห็นว่า คนที่ทำบาป กลับได้รับสิ่งที่ดีๆ ก็เพราะว่า กรรมดีในอดีตชาติมาให้ผลในขณะต่อจากนั้นได้ครับ ซึ่งเราก็จะไม่ปนกันว่า กรรมชั่วจะให้ผลดี หรือ กรรมดีจะให้ผลไม่ดีไม่ได้เลย เหตุต้องตรงกับผล คือ กรรมดี ให้ผลที่ดี กรรมชั่วให้ผลที่ชั่วครับ แต่ต้องมีระยะกาลเวลาของกรรม ครับ

ซึ่งผู้ที่เกิดมาได้รับวิบากดี ก็เพราะกรรมดีให้ผล เช่น การให้ทานในอดีตชาติ เป็นต้น แต่ไม่ได้หมายความว่า กิเลสไม่มี เมื่อเป็นปุถุชนแล้ว ก็ย่อมมากไปด้วยอกุศล จึงมีการทำไม่ดี เกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงแยกระหว่างการสะสมกิเลสมา กับ การทำกุศลกรรม บางขณะ ที่ทำให้ได้รับวิบากดี ในชาติใด ชาติหนึ่ง หรือ ขณะใด ขณะหนึ่งครับ ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 27 มิ.ย. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

บุคคลผู้ทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว ตามสมควร เรื่องกรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด กรรมในอดีตชาติที่ผ่านๆ มาแต่ละบุคคลก็ได้กระทำมาอย่างมากมายมีทั้งดีและ ไม่ดี กรรมดี กับ กรรมชั่ว เป็นคนละส่วนกัน

ข้อที่น่าพิจารณา คือ บุคคลผู้ที่ทำกรรมชั่ว คือ ทำทุจริตกรรม กรรมชั่วยังไม่ให้ผล แต่เขายังมีความสุข มีทรัพย์สินเงินทอง มียศถาบรรดาศักดิ์ เป็นต้น นั่นเป็นเพราะกรรมดีที่เขาเคยได้กระทำมาแล้ว ให้ผล ต่อเมื่อกรรมชั่วให้ผลเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเขาย่อมจะรู้ได้ว่า ทำกรรมชั่ว ได้รับผลชั่วจริงๆ , ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่ทำกรรมดี คือ ทำสุจริตกรรม กรรมดียังไม่ให้ผล เขาจึงประสบกับความทุกข์ยาก ได้รับความเดือดร้อนประการต่างๆ ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะกรรมชั่วที่เขาเคยได้กระทำมาแล้ว ถึงคราวที่จะให้ผล ต่อเมื่อกรรมดีให้ผลเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเขาย่อมจะรู้ได้ว่า ทำกรรมดี ได้รับผลดีจริงๆ

การกระทำกรรมดี และ กรรมชั่ว นั้น เป็นการสร้างเหตุใหม่ เมื่อกรรมถึงคราวที่จะให้ผล ผลก็ย่อมเกิดขึ้น (เหตุ ย่อมสมควรแก่ผล) ถ้าเป็นผลของกรรมดี ย่อมทำให้ได้รับในสิ่งที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ถ้าเป็นผลของกรรมชั่ว ย่อมทำให้ได้รับในสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ ดังนั้น เมื่อจะสะสมกรรมที่จะให้ผลในภายหน้า ก็ควรสะสมแต่กรรมที่ดีงาม (กัลยาณกรรม) เพราะกรรมดี เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งได้ ส่วนกรรมชั่ว พึ่งไม่ได้เลยทีเดียว ครับ

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
thilda
วันที่ 27 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 27 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
lack
วันที่ 27 มิ.ย. 2559

เป็นความจริงแท้ที่ ผู้ทำกรรมดี ย่อมได้รับผลดี ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว ตามสมควร

ปัญหาคือ ไฉนชาติปัจจุบันจึงหลงไปสั่งสมสิ่งอกุศลได้ เหตุแห่งการสั่งสมสิ่งที่ดีในอดีตไม่เกื้อกูลให้ประกอบกรรมดีต่อไปหรอกหรือ

เป็นที่น่าคิดว่าการสั่งสมสิ่งที่ดี (ทาน ศีล ภาวนา) ทั้งในอดีตและปัจจุบันนั้น ทำเพื่อสิ่งใด บางคนก็ทำเพื่อ ลาภยศ สรรญเสริญ (สะสมกุศลกรรมบ้าง กิเลสบ้าง) ส่วนบางคนก็ทำเพราะเห็นประโยชน์ต่างๆ ต่อบุคคลอื่น หรือเพื่อขัดเกลากิเลส

แม้แต่ชาติก่อนๆ ของพระพุทธเจ้า ก็ยังเคยล่วงอกุศลกรรม มาบ้าง เพราะเป็นธรรมดาของปุถุชนย่อมต้องมีกิเลส

ซึ่งเป็นข้อคิดเตือนใจที่ดีว่า ธรรมะ ทั้งหลายเป็น อนัตตา ไม่ควรประมาทในอกุศลกรรมแม้เพียงเล็กน้อย หรือหมิ่นว่ากุศลที่ทำนั้นน้อย การกระทำความดีประการต่างๆ (เจริญกุศล) และฟังธรรม ศึกษาพระธรรม ก็ควรมีความดำริที่ถูก และคอยเตือนตนตลอดว่า ไม่ใช่เพื่อได้ แต่เพื่อค่อยๆ ขัดเกลากิเลส ประการต่างๆ ที่หมักหมมอยู่ เมื่อมีความดำริอย่างนี้และมั่นคงอย่างนี้ และเพียรเป็นอุปนิสัย กระทั่งเป็นปัญญา ก็จะไม่กระทำสิ่งที่ไม่ดี แม้จะอยู่ในภาวะที่เอื้อต่อการทำอกุศลกรรม

ชิวิตก็ต้องเป็นไปอย่างปกติ หากไม่มั่นคงในความดีมากพอ เมื่อมีเหตุปัจจัยพร้อมก็ย่อมทำอกุศลกรรมตามอำนาจกิเลสที่สั่งสมมา

จึงจำเป็นยิ่งที่ต้องฟังธรรม ศึกษาพระธรรม ที่ถูกต้องในกาลที่มีโอกาส

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
tuijin
วันที่ 28 มิ.ย. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
peem
วันที่ 28 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
ampnop
วันที่ 29 มิ.ย. 2559

สัพเพ ธัมมา อนัตตา สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 30 มิ.ย. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
wannee.s
วันที่ 1 ก.ค. 2559

กรรมชั่ว หรือ กรรมดี ที่ทำ ให้ผลในปัจจุบันก็มี ให้ผลชาติหน้าก็มี หรือให้ผลนับชาติไม่ได้ก็มี ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
jirat wen
วันที่ 1 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ