ถ้าเข้าใจว่า "ไม่ใช่เรา" ก็เป็น "กุศล" ใช่ไหมครับ
ในขณะที่ อกุศลเกิด ถ้าเข้าใจว่า เป็น อกุศลของเรา ก็จะเดือดร้อน ถ้าวิธีต่างๆ เพื่อจะทำตัวเอง ให้มีกุศลเยอะๆ (ซึ่งขณะนั้น ก็กำลังเป็นอกุศลแบบไม่รู้ตัว) แต่ถ้า เข้าใจว่า ขณะที่อกุศลเกิด ขณะนั้น ก็ไม่ใช่เรา ถ้าเข้าใจอย่างนี้ จะทำให้ กุศล เกิด ใช่ไหมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านอาจารย์ สุจินต์......ใครฟังแล้วเกิดความคิดอย่างนี้บ้างไหมคะ ธาตุเลวก็ธาตุเลว (อกุศล) จะเดือดร้อนทำไม ธาตุเลวก็เป็นธาตุ คิดอย่างนี้หรือเปล่าคะ
ผู้ร่วมสนทนา...มีคิดเป็นบางครั้ง อาจารย์คะ
ท่านอาจารย์สุจินต์...ก็แสดงว่ามีคนที่คิดอย่างนี้ใช่ไหมคะ เป็นธรรมก็เป็นธรรมไม่ใช่เรา ก็คิดสั้นๆ แต่ธรรมมีทั้งฝ่ายกุศลและอกุศล ถ้าเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นธาตุเลว (อกุศล) จะคิดแก้ธาตุเลวให้เป็นธาตุดีหรือเปล่า ใช่ไหมคะเพราะอะไรคะ เพราะยึดถือธาตุเลวนั้นว่าเป็นเรา และใครจะแก้ธาตุเลวนั้นได้ ยิ่งเลวไปทุกทีเพราะยึดถือว่าเป็นเรา และก็ไม่ทำอะไรด้วย ปล่อยให้เลวไปเรื่อยๆ แต่ว่าความเข้าใจจริงๆ ที่เข้าใจว่าเป็นธาตุ แต่ว่าเพราะการไม่รู้ว่าเป็นธาตุ ทำให้ยึดถือธาตุว่าเป็นเราเพราะฉะนั้นธาตุนั้นแหละ ที่เคยเป็นเรา เคยเข้าใจว่าเป็นเราจะดีขึ้นได้ไหม หรือว่าจะปล่อยไปให้เลวขึ้น หรือเลวลงไปเรื่อยๆ ไม่มีใครที่สามารถที่จะทำให้ธาตุเลวนะคะ ที่เกิดดับสืบต่อ และแต่ละคนจะมีธาตุเลวระดับไหนก็แล้วแต่การสะสม ซึ่งคนอื่นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้เลย แต่ก่อนฟังพระธรรม ก่อนเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีธาตุเลวไหม แต่มีปัญญาที่เห็นถูกต้องตามความเป็นจริงว่าธาตุเลวจะหมดสิ้นไปได้ ก็ต่อเมื่อมีปัญญา เพราะปัญญาเกิดแล้วย่อมละธาตุเลว จนกระทั่งเป็นธาตุปานกลาง (กุศล) จนกระทั่งเป็นธาตุที่ประณีต (ปัญญาระดับโลกุตตร ดับกิเลส)
ท่านอาจารย์สุจินต์...ดังนั้นไม่ใช่ฟังธรรมเผินๆ ธรรมก็เป็นธรรม ก็ไม่ต้องทำอะไร ทำชั่วก็ได้ ทำดีก็ได้ ไม่ใช่เราเป็นธรรม นั่นคือไม่เข้าใจธรรม เพราะคิดอย่างนั้นก็เป็นธรรมที่เห็นผิด และก็มีแต่จะยิ่งผิดหรือยิ่งเลว ด้วยเหตุนี้แม้จะเป็นธาตุเลว แต่ว่าธาตุเลวนี่แหละที่ยึดถือว่าเป็นเรา และก็ไม่มีใครที่สามารถบันดาลธาตุเลวของแต่ละคนที่เข้าใจว่าเป็นของเราให้หมดสิ้นไปได้นอกจากปัญญา เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้นะคะว่า ธาตุเลวมีประโยชน์หรือเปล่าหรือมีแต่โทษ แต่ต้องเป็นปัญญาที่เห็นนะคะ และก็มีผู้ทรงตรัสรู้ได้แสดงหนทางให้ธาตุเลวค่อยๆ หมดไปได้จนกระทั่งเป็นธาตุที่ประณีต (กุศลที่ดับกิเลสได้) เพราะฉะนั้นการฟังธรรมก็ต้องเป็นการฟังอย่างละเอียดจริงๆ ที่ว่าธรรมก็เป็นธรรม ไม่ใช่เราก็ไม่เป็นไรหรืออะไรอย่างนั้น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เข้าใจ เป็นเข้าใจ เป็นธรรมฝ่ายที่ดีงาม จะเป็นอกุศล ไม่ได้เลย, ตามความเป็นจริงแล้ว อกุศลธรรม ก็มีจริง และมีมากด้วยในชีวิตประจำวัน เป็นสภาพธรรมที่ไม่ดีงาม ไม่นำประโยชน์อะไรๆ มาให้ใครเลย ขณะที่จิตเป็นอกุศลย่อมเร่าร้อน เพราะอกุศลเจตสิกประการต่างๆ ที่เกิดร่วมด้วย และถ้ามีกำลังถึงขั้นล่วงเป็นอกุศลกรรมบถที่ครบองค์ ยิ่งเร่าร้อนมาก กล่าวได้ว่าเร่าร้อนทั้งในขณะที่ทำ และในขณะที่ได้รับผลของอกุศลกรรมนั้นๆ ด้วย ในทางตรงกันข้าม ขณะที่จิตเป็นกุศลนั้น ย่อมผ่องใส ไม่ขุ่นมัว เพราะไม่มีอกุศลเจตสิกเกิดร่วมได้เลย เป็นจิตคนละประเภทกัน มีแต่สภาพธรรมฝ่ายดี เช่น ศรัทธา (สภาพธรรมที่เลื่อมใสในกุศล) สติ (สภาพธรรมที่ระลึกเป็นไปในกุศล) หิริ (ความละอายต่ออกุศล) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่ออกุศล) เป็นต้น เกิดร่วมด้วย และถ้าเข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ก็มีปัญญาเกิดร่วมด้วย
การมีโอกาสได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นปกติบ่อยๆ เนืองๆ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เมื่อมีความเข้าใจไปตามลำดับ ย่อมจะทำให้เป็นผู้เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เห็นโทษเห็นภัยของอกุศล และเห็นคุณค่าของกุศลธรรม ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่ประมาททั้งในกุศลและในอกุศลแม้จะเล็กน้อย เพราะฉะนั้นแล้ว ความเข้าใจพระธรรมนี้แหละที่จะเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...