ชีวิตที่มีคุณภาพ
ชีวิตที่มีคุณภาพ ทุกคนล้วนใฝ่หา เป็นสัญชาตญานของความอยู่รอด เริ่มต้นจากอาหาร ความเป็นอยู่ เครื่องนุ่งห่ม ความรู้สึก ความรู้ การศึกษา ชาติตระกูล ฯลฯมากมายเท่าที่จะสามารถสรรหาได้ตามกำลังแต่ละบุคคล
ชีวิตคืออะไร? และคุณภาพควรเป็นแบบไหน? เมื่อยังไม่ได้ฟังพระธรรม ความใฝ่ฝันในคุณภาพชีวิตตามกระแสสังคม ก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก เหตุเพราะการรับรู้ในชีวิตประจำวันล้วนชักนำให้เป็นไปอย่างนั้น
แต่เมื่อฟังธรรมที่จริงและตรงแล้วจึงได้เริ่มมองเห็นว่า ชีวิตตามความเป็นจริงคือจิต เจตสิก รูป คุณค่าของชีวิตควรเป็นไปเพื่อรู้ตามความเป็นจริง เพื่อการเข้าถึงปัญญาความเข้าใจถูกในการดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพ
ขอคำชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตที่มีคุณภาพจากสมาชิกท่านอื่นด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ดังนี้
ชีวิตคืออะไร
ธ. ชีวิตจริงๆ ที่เป็นชีวิตของธรรมะ ท่านอาจารย์จะอธิบายชีวิตขณะนี้อย่างไร
ส. ถ้าไม่มีจิต สภาพรู้หรือธาตุรู้ ขณะนี้กำลังเห็นเป็นจิต ขณะนี้กำลังได้ยินเป็นจิต ขณะนี้ที่กำลังคิดนึกก็คือจิต ทุกขณะในชีวิตประจำวันเป็นจิต เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีจิตกับเจตสิกก็จะไม่มีชีวิตเลย
เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ใครรู้บ้างว่า จิตแต่ละหนึ่งที่สะสมมาเป็นแต่ละบุคคลมีกุศลมากหรือมีอกุศลมาก มีความดีมากหรือมีความชั่วมาก ไม่ใช่ว่าเราจะพูดถึงคนใดคนหนึ่ง แต่พูดถึงธรรมะ คือสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งไม่ใช่ของใครเลย และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ด้วย แลกกันก็ไม่ได้ แต่สิ่งที่ควรรู้ก็คือว่า แต่ละจิต โดยเฉพาะจิตของแต่ละบุคคลที่ยึดถือว่าเป็นเรา ดีชั่วขนาดไหน และชีวิตก็สั้นแสนสั้น เพียงแต่ขณะนี้ถ้าจิตไม่เกิดก็คือไม่มีชีวิตอีกต่อไป
เพราะฉะนั้น แต่ละ ๑ ขณะที่เป็นชีวิตที่มีอยู่ ประโยชน์สูงสุดก็คือว่า เป็นจิตที่ดี ไม่ใช่จิตที่เป็นอกุศล เพราะเหตุว่าถ้าเป็นจิตที่ไม่ดี เป็นอกุศลเกิด ผลก็อย่างที่เราเห็น มีตาแบบไหน แบบช้าง แบบมด หรือแบบมนุษย์ หรือแบบเทวดา ทั้งหมดเป็นธรรมะซึ่งไม่มีใครสามารถดลบันดาลได้เลย แต่ก็มีแล้วตามที่เห็นทุกวันว่า เป็นธรรมะที่เลือกไม่ได้เลย และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร มีตาเพื่อเห็น หรือมีตาแล้วไม่เห็น แล้วจะมีตาไว้ทำไม แต่เพราะเหตุว่าตาสามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏเฉพาะขณะนี้ที่ปรากฏได้เมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น
นี่คือความละเอียดของชีวิตซึ่งไม่ใช่ของใคร แต่ก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นอกุศลธรรม แม้แต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็สามารถเป็นทุกข์ได้ เจ็บตาก็ได้ เป็นโรคหูก็ได้ จมูก บางคนก็หายใจไม่ออก เป็นไซนัส ลิ้นก็เป็นเม็ดมีหนองไหลก็ได้ กายก็เห็นแล้วแต่ บางคนก็มีหน้าช้างเพราะมีเนื้อทั้งหมด อันนี้ไม่ใช่ที่ประเทศไทย แต่ข่าวหลากหลายจากทุกมุมโลกที่สามารถได้ยินได้ฟัง ก็จะได้เห็นความวิจิตรของทั้งรูปธรรม รูปร่างกายและนามธรรมยิ่งละเอียดกว่านั้น
เพราะฉะนั้น แต่ละ ๑ ขณะ ก็กำลังเป็นไปในขณะนี้ ซึ่งถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงโดยละเอียดยิ่ง ไม่มีใครสามารถรู้ว่า ทุกอย่างที่ปรากฏขณะนี้เป็นผลซึ่งมาจากเหตุ ต้องเป็นไปตามเหตุ ไม่ว่าสุขทุกข์ใดๆ ก็เป็นเรื่องยาวอย่างที่เราฟังกันมามากในเรื่องของสภาพธรรมะที่มีจริง แต่ฟังทั้งหมดเพื่อเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้เคยมีใครคิดบ้างไหมว่า ปรากฏได้อย่างไร อย่างเห็น เห็นจนชิน ไม่รู้ว่า น่าอัศจรรย์ มีธาตุเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป แม้แต่ได้ยินขณะนี้มีเสียงปรากฏ ก็มีธาตุที่กำลังได้ยินเสียง แล้วก็ดับไป นี่คือชีวิตทุกขณะเลย ไม่ว่าโลกไหน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์เดรัจฉาน ในนรก เป็นเปรต อสุรกาย บนสวรรค์ชั้นไหนก็ตาม สภาพธรรมะก็มีปัจจัยเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
ชีวิตที่ประเสริฐและมีคุณภาพ
ส. นักปราชญ์มีชีวิตที่ประเสริฐด้วยปัญญา ถ้าไม่รู้ว่า ปัญญารู้อะไร ประโยคนี้มีความหมายไหมคะ ก็กล่าวตามๆ กัน นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า ชีวิตที่ประเสริฐคือชีวิตที่อยู่ด้วยปัญญา เท่านี้ แต่ไม่รู้เลยว่า พูดทำไม พูดแล้วเข้าใจอะไร จนกว่าจะรู้ว่า ปัญญารู้อะไร จึงสามารถรู้ความต่างได้ว่า เพราะมีปัญญาชีวิตจึงประเสริฐ แต่ถ้าไม่มีปัญญา ชีวิตจะประเสริฐได้อย่างไร ก็เป็นความไม่รู้ เพราะเหตุว่าปัญญาเป็นสภาพที่รู้ถูก เห็นถูก เข้าใจถูก
เพราะฉะนั้น กว่าจะถึงการละความเป็นตัวตนโดยไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลย เป็นไปไม่ได้ แต่เพราะเหตุว่ารู้ความจริงของทุกอย่างที่ปรากฏว่า เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้วจะยึดถืดว่าเป็นเราได้ไหม แต่เพียงได้ฟังแค่นี้ไม่พอ เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ แต่ละคนก็ต่างคนต่างไป ต่างคนต่างคิด แล้วแต่คิดตามที่ได้ฟังมานานและสะสมมานานในสังสารวัฏฏ์ หรือจะเพิ่งเริ่มคิดก็แล้วแต่ เช่น ชีวิตที่ประเสริฐ ชีวิต คือ จิตเจตสิก ในภพภูมิที่มีขันธ์ที่มีรูปธรรม ก็มีรูปด้วย เพราะฉะนั้น แต่ละชีวิตไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ต้องมีจิต เจตสิกและรูป
เพราะฉะนั้น คำว่า “ประเสริฐ” ที่นี่ รูปประเสริฐ หรืออะไรประเสริฐ หรือจิตที่แต่ละคนเข้าใจว่าเป็นเรา ขณะนั้นรู้ไหมว่าดีชั่วระดับไหน ต้องเป็นปัญญาจึงจะรู้ได้ ถ้าเป็นเรา จะไม่รู้เลย เราพยายามจะทำดี ความเป็นเรานั่นหรือถูกต้อง ไม่ใช่ปัญญาเลย
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สภาพธรรมที่จะรู้ถึงความควร ความไม่ควรนั้น ต้องเป็นปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) เท่านั้น บุคคลผู้มีปัญญา ย่อมรู้ว่า อะไรควร อะไรไม่ควร แล้วน้อมประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องยิ่งๆ ขึ้น เห็นโทษเห็นภัยของอกุศล และเห็นคุณค่าของกุศลธรรม ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความไม่ประมาท ไม่ประมาทในการสะสมความดีประการต่างๆ จึงเป็นเสมือนมีเครื่องปกครอง หรือเครื่องนำทางชีวิตที่ดีกว่าสิ่งนี้ท่านควรทำ สิ่งนี้ท่านไม่ควรทำ สิ่งนี้ควรอบรมให้เจริญมากขึ้น เป็นต้น เพราะปัญญาที่ ค่อยๆ เพิ่มขึ้นนั่นเอง เป็นผู้มีชีวิตที่ดีงาม เป็นชีวิตที่มีคุณภาพ เพราะมีสภาพธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้นเป็นไป และ สภาพธรรมฝ่ายดีทั้งหมด ย่อมคล้อยไปตามปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูก แล้วปัญญาจะมาจากไหน ปัญญาไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่ต้องอาศัยเหตุ คือ การฟังพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงจากกัลยาณมิตรผู้มีปัญญา โดยไม่ขาดการฟังไม่ขาดการพิจารณาไตร่ตรองพระธรรม เพราะการฟังพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ เท่านั้น จึงจะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญาในชีวิตประจำวันได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...