มีหน่วยวัดอัตราของบาป กรรม ที่ตายตัวไหมครับ
มีบางคน เข้าไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม เขาบอกว่า "จะเชื่อก็ต่อเมื่อ มีสูตรคำนวณให้ดูได้ แบบแม่นยำเท่านั้น" ผมก็ไม่รู้จะอธิบายเขายังไงดี รบกวนท่านอาจารย์ แนะนำหน่อยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓- หน้าที่ ๒๙๓
“ท่านอย่าได้ทำบาปนะ บาปใดอันท่านทำไว้ บาปนั้นจะเผาผลาญท่านในภายหลัง,บุรุษทํากรรมเหล่าใดไว้ทางกายทวาร วจีทวาร และมโนทวาร เมื่อเขากลับได้ผลของกรรมนั้น ย่อมพบกรรมเหล่านั้นเองในตน ผู้ทำกรรมดีย่อมเสวยผลดี แต่ผู้ทำกรรมชั่ว ย่อมเสวยผลชั่วช้าลามก ไม่น่าปรารถนา, แท้จริง แม้ในทางโลก บุคคลหว่านพืชเช่นใดไว้ ย่อมนำไปซึ่งพืชนั้น คือ ย่อมเก็บผล ได้รับผล เสวยผลอันสมควรแก่พืชนั้นเอง”
(พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก จุลลนันทิยชาดก)
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ หน้าที่ ๑๖๘
คนหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั้น คนทำเหตุดี ย่อมได้ผลดี
ส่วนคนทำเหตุชั่วย่อมได้ผลชั่ว.
------------------------
เมื่อได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็จะสามารถเข้าใจถูกเห็นถูกได้ว่ากรรม คือ อะไร และ ผลของกรรม คือ อะไร?
ความเป็นจริงของสภาพธรรม เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ใครๆ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น สำหรับในเรื่องของกรรม และผลของกรรม ก็เป็นธรรม กรรมเป็นเหตุ ซึ่งมีทั้งเหตุที่ดี และเหตุที่ไม่ดี เมื่อเหตุต่างกัน ผลก็ต้องต่างกัน จะเหมือนกันไม่ได้ เหตุดีย่อมให้ผลที่ดี ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นเหตุไม่ดี ผลก็ย่อมเป็นผลที่ไม่ดี ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ โดยไม่มีใครทำให้เลย ผลของกรรมมีทั้งนามธรรม (วิบากจิต และเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย) และรูปธรรม (รูปที่เกิดจากกรรม เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นต้น) โดยไม่มีใครจัดสรร แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ในชีวิตประจำวัน ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง แม้ในเรื่องกรรมและผลของกรรมก็เช่นเดียวกัน ไม่พ้นไปจากธรรมเลย ไม่พ้นจากชีวิตประจำวันด้วย ผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนา ย่อมจะเป็นผู้มีความเข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับบุคคลแต่ละคน หรือแม้กระทั่งเกิดกับตัวเองไม่ว่าดีหรือร้าย น่าปรารถนาหรือไม่น่าปรารถนาก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะกรรมที่เคยได้กระทำมาแล้วทั้งสิ้น ไม่มีใครทำให้เลย ซึ่งจะเห็นได้ว่า ถ้าไม่มีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำมาแล้ว ผลที่จะเกิดย่อมมีไม่ได้ แต่เพราะมีเหตุคือกรรมที่ได้กระทำแล้ว เมื่อได้โอกาสที่กรรมจะให้ผล ผลจึงเกิดขึ้น ดังนั้น จะมีความเข้าใจในเรื่องกรรมและผลของกรรม อย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงก็ต้องอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ค่อยๆ ฟังค่อยๆ ศึกษาสะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย เมื่อมีความเข้าใจถูกในเรื่องกรรมและผลของกรรม จะเกื้อกูลให้เว้นจากอกุศลกรรม แล้วเพิ่มพูนหรือกระทำกุศลกรรมซึ่งเป็นคุณความดีประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...