ค้นหาความจริง!
ถ้ามีคนถามว่า - จะรู้ได้อย่างไรว่า ทางบ้านธัมมะ ได้สอนพระพุทธศาสนา ได้ถูกต้องที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับ สถาบันต่างๆ ที่มี การสอนกันอย่างมากมายในปัจจุบันนี้ เพราะสถาบันเหล่านั้น เขาก็จะบอกเหมือนกันว่า คำสอนต่างๆ ของเขานั้น ดีแล้ว ตรงแล้ว ถูกต้องแน่นอนแล้ว เป็นพุทธวจนแล้ว ... เราจะอธิบายให้คนที่ถามมาอย่างนี้ ได้อย่างไร?
ผู้ใหม่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ เห็น มี จริง ได้ยิน มีจริง เสียง มีจริง เป็นต้น แต่เป็นธรรมไม่ใช่เรา (อนัตตา) เพราะฉะนั้น คำสอนใดที่สอนให้เข้าใจความจริง ที่มีจริงในขณะนี้ ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ก็สอนตรงตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ตรัสรู้ และ หนทางการจะรู้ความจริง ก็คือ รู้ขณะนี้ ไม่ใช่ขณะอื่น เมื่อ ธรรมมีจริงในขณะนี้ ก็รู้ความจริงในขณะนี้ ไม่ใช่ไปห้อง สำนักปฏิบัติ หรือ ไปนั่งสมาธิ เพื่อไปรู้ความจริง เพราะ หนทางที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง คือ ฟังให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น การกล่าวพระไตรปิฎก ก็ต้องสอดคล้องทั้งสามปิฎก เมื่อกล่าวว่าอนัตตาแล้ว ก็ไม่มีเราจะไปทำสติ ไปปฏิบัติ แต่ปัญญาเจริญขึ้นจากการฟัง ศึกษาพระธรรมครับ นี่คือ ตรงตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ตามพระไตรปิฎก ครับ คือ รู้ความจริงในขณะนี้โดยความเป็นอนัตตา ขออนุโมทนา ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่มีจริง มีจริงในขณะนี้ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหน มีจริงในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ขาด คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม คือ ประกาศความจริง เพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจถูกเห็นถูกตรงตามความเป็นจริงของธรรม ว่า มีจริง ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น คำใดก็ตามที่กล่าวให้เข้าใจความจริง ย่อมเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรค่าแก่การฟังการศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ผู้มีปัญญา เห็นประโยชน์ของพระธรรม ฟังพระธรรมด้วยความละเอียดรอบคอบ จริงใจ ตรงต่อความจริง ย่อมสามารถแยกแยะได้ว่า คำใดเป็นคำที่แสดงให้เข้าใจถูกเห็นถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ คำใด ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะต้องตรงตั้งแต่คำแรก คือ คำว่า ธรรม มีจริง เป็นอนัตตา ไม่ใช่สัตว์ บุคคลตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้
ก็ขอให้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ด้วยความเคารพ ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
จะรู้ว่าคำไหนเป็นคำจริง คำไหนเป็นคำลวง ก็ต้องเทียบเคียงสอบทานกับพระไตรปิฎก เท่านั้น
ฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผู้ฟังใหม่ เพราะบางครั้งคำลวงก็เป็นการยกพุทธพจน์มา แล้วตีความไปตามเอื้อประโยชน์ตน ตีความเอาเองด้วยความไม่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น ท่านอ.จึงเน้นเสมอในการเป็นผู้ตรง คือตรงต่อเหตุผล แล้วค่อยๆ ฟังต่อไปด้วยความอดทน แล้วความจริงก็จะปรากฏทีละเล็กทีละน้อย
ขออนุโมทนา
ปัญญาแยกแยะที่ไหนสอนถูก สอนตรง ด้วยการฟัง ศึกษาพระธรรมครับ
อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
กราบขอบพระคุณยินดีในกุศลทุกท่านค่ะ
จากความเห็นที่ 4 เป็นเช่นนั้น เพราะปุถุชนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะอยู่ในเพศใด เมื่อไม่ได้ศึกษาพระธรรมก็คิดคล้อยไปตามกิเลสที่สะสมมา โดยไม่รู้ว่า พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงนั้น ลึกซึ้ง ลึกล้ำ ละเอียด ไม่มีใครสามารถจะคิดได้เองเลย แม้แต่ผู้หมดกิเลสแล้ว ถึงความเป็นอรหันต์ครั้งพุทธกาลท่านยังเห็นประโยชน์และคุณค่าในการฟังคำของพระพุทธองค์เสมอๆ เหตุนี้การศึกษาพระธรรม ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่มีหนทางสำเร็จรูปในเวลาสั้นๆ อย่างแน่นอน ต้องอดทนฟังคำจริงแล้วไตร่ตรอง พิจารณา จนกว่าปัญญาปรากฏทีละเล็กทีละน้อย ก็จะเริ่มทราบว่า สิ่งใดเป็นของแท้ สิ่งใดเป็นของเทียม
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร
ขอเชิญศึกษาพระธรรม...
รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์