สวดพระปริตเพื่ออะไร

 
chatchai.k
วันที่  16 ก.ค. 2559
หมายเลข  27981
อ่าน  17,099

พระปริตคืออะไร จุดมุ่งหมายที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระปริตเพื่ออะไร การสวดพระปริตเพื่ออะไร กรุณาให้ความกระจ่างครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 16 ก.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้นเป็นเครื่องป้องกันความไม่รู้ ป้องกันภัยคือกิเลส (ปริตฺต หรือ ปริตร แปลว่า ป้องกัน) ความไม่รู้มีมาก กิเลสมีมาก จะขัดเกลาละคลายให้เบาบางลงได้อย่างไร ถ้าไม่อาศัยพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จะเห็นได้ว่าพระอริยสาวกทั้งหลายในอดีต จากที่เป็นผู้มากไปด้วยกิเลส ก็สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ก็เพราะได้อาศัยพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงมาแล้วทั้งนั้น จะขาดการฟังพระธรรมไม่ได้เลยทีเดียว

พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นส่วนของพระสูตรก็ดี พระวินัย ก็ดี พระอภิธรรม ก็ดี ล้วนเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด ไม่มีคำสอนแม้แต่บทเดียวที่ส่งเสริมให้คนไปทำอะไรด้วยความไม่รู้ ด้วยความติดข้องต้องการ

พระธรรมทุกคำเป็นไปเพื่อปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกโดยตลอด และที่สำคัญพระธรรมไม่ใช่สำหรับท่องหรือสวด แต่สำหรับศึกษา จึงควรอย่างยิ่งที่จะได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ด้วยความละเอียดรอบคอบ เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกจริงๆ ผู้ที่ตรง จริงใจ เท่านั้นที่จะได้สาระจากพระธรรม ครับ

พระปริต เป็น ธรรมเครื่องต้านทาน เครื่องรักษา ป้องกัน หากเราไม่เข้าใจ ก็คิดว่า บทสวด เป็นพระปริตเท่านั้น แต่ธรรมอะไรจะป้องกัน ต้านทาน รักษาผู้นั้นได้ นอกเสียจาก กุศลธรรม กุศลจิตที่เกิดขึ้น จากการอ่านพระธรรมบทนั้นนั่นแหละ ที่เป็น ปริตเป็นเครื่องต้านทาน เครื่องรักษา ป้องกัน บุคคลนั้น ให้พ้นจากภัย คือ อกุศลจิตที่เป็นภัยคือกิเลสไม่เกิดในขณะนั้น และพ้นจากอันตราย ที่เป็นอกุศลกรรมให้ผลได้ ถ้า กุศลที่เกิดมี กำลัง ครับ ดังนั้น พระปริต จึงไม่ใช่การสวดบทสวดใดบทสวดหนึ่ง แต่ไม่เข้าใจความหมาย และไม่เข้าใจพระธรรมบทนั้น เมื่อกุศลจิตไม่เกิด ไม่มีปัญญา ก็ไม่เป็นพระปริต ครับ ดังนั้น ขณะที่อยากสวดพระปริตให้ป้องกันภัย พ้นภัย ขณะนั้นเป็นโลภะ ไม่ใช่กุศลจิต ที่จะเป็นเครื่องป้องกัน ต้านทานได้ครับ พระปริต ก็คือ บทพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนั่นเอง มี รัตนสูตร เป็นต้น ใครก็สามารถอ่าน ศึกษาได้ และสามารถเข้าใจความหมายได้ด้วย หากได้เข้าใจพระธรรมบทนั้น ครับ ดังนั้นชณะที่อ่าน รัตนสูตร เป็นต้น ที่เป็นพระปริต ขณะที่เข้าใจพระธรรม ขณะนั้นไม่ต้องสวดเลย ก็มีพระปริต เครื่องป้องกันจากภัย คือ กิเลสแล้วในขณะนั้น ครับ และประโยชน์ที่ได้สูงสุด คือ ไม่ใช่การป้องกันภัยจากอันตรายต่างๆ แต่ประโยชน์สูงสุด ของการศึกษาพระธรรม ที่เป็นพระปริตในบทธรรมต่างๆ คือ กุศลจิตเกิดและเกิดปัญญา ความเข้าใจพระธรรม เป็นสำคัญ ครับ

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 16 ก.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สวด คือ อะไร สวดอะไร เพื่ออะไร ล้วนแล้วแต่เป็นไปกับความไม่รู้ ความหวังความต้องการ ย่อมไม่ใช่เหตุที่จะทำให้ความเข้าใจถูกเห็นถูกเจริญขึ้น มีแต่พอกพูนกิเลส ความไม่รู้ ความติดข้อง ให้มากขึ้น และยังทำตามๆ กันด้วยความไม่รู้ต่อไ

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงนั้น เป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ ที่เกิดจากการสะสมบำเพ็ญพระบารมีมาเป็นเวลาที่ยาวนาน และเป็นสิ่งที่ยากมากที่จะเข้าใจ แต่ก็ไม่เหลือวิสัยสำหรับผู้ที่มีความจริงใจตั้งใจที่จะศึกษา ซึ่งจะต้องมีความละเอียดรอบคอบในการศึกษา เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง โดย ไม่ใช่สวด หรือ ท่อง บทต่างๆ ที่กล่าวกันว่าเป็น ปริตร นั้น ไม่ว่าจะเป็นมงคลสูตร กรณียเมตตสูตร รัตนสูตร เป็นต้น ล้วนเป็นพระธรรมที่สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อได้ศึกษาและเข้าใจอย่างถูกต้อง ถ้านำมาสวดหรือท่อง เพื่อได้ เพื่อต้องการสิ่งหนึ่งสิ่งใด หวังลาภสักการะ หวังให้พ้นจากภัยอันตรายต่างๆ ก็เป็นการผิดตั้งแต่ต้น เป็นอกุศลตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่ได้เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม ไม่เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสในชีวิตประจำวัน

ในพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคำว่า "สาธยาย [สชฺฌาย] " หมายถึงการกล่าวทบทวน เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงตามพระธรรม เมื่อได้ฟังแล้ว ก็มีการทบทวน ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องเมื่อได้ฟังแล้ว อย่างไรจึงจะไม่ลืม ก็ด้วยการทบทวนไตร่ตรอง ในสิ่งที่ได้ยิน ได้ฟัง จะเห็นได้ว่า บุคคลในสมัยครั้งพุทธกาล กว่าจะได้ฟังพระธรรมนั้นยากลำบาก ต้องเดินทางไปเข้าเฝ้าฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไกลแสนไกล เพื่อที่จะได้ฟังเมื่อฟังเสร็จแล้วก็เดินทางกลับ ระหว่างนั้นก็มีการระลึกถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เพื่อจะได้ไม่ลืม เวลาที่มีการระลึกถึงคำที่ได้ฟังบ่อยๆ เนืองๆ แล้วไตร่ตรองด้วยความเข้าใจนี้ คือ การสาธยาย ซึ่งไม่ใช่การพูดคำที่ไม่รู้จัก

พระธรรม เป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว จึงควรอย่างยิ่ง ที่พุทธศาสนิกชนจะได้ศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกเป็นปัญญาของตนเองต่อไป ยิ่งฟังพระธรรมก็ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเห็นพระมหากรุณาคุณ ของพระองค์ ถ้าพระองค์ไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีมา ไม่มีทางเลยที่สัตว์โลก จะได้เข้าใจความจริงในฐานะของสาวก ประโยชน์สูงสุดที่ทุกคนจะพึงได้ คือความเข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ ครับ

... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 16 ก.ค. 2559

กราบขอบพระคุณในคำถาม และคำคอบ

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
Avitathata
วันที่ 16 ก.ค. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ประสาน
วันที่ 17 ก.ค. 2559

สาธุๆ ๆ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 17 ก.ค. 2559

สาธุ สาธุ สาธุ ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wirat.k
วันที่ 17 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
chatchai.k
วันที่ 17 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
sacca
วันที่ 18 ก.ค. 2559

หากทำความเข้าใจความหมายของบทสวดพระปริตร จะเห็นได้ว่าพระปริตรคือข้อความในพระสูตรต่างๆ ซึ่งส่องให้เข้าใจพระธรรม อย่างเช่นรัตนสูตร เป็นพระสูตรที่ยาวมาก หากจำได้ทั้งบท ผู้ที่จำได้หรือมีหนังสือให้อ่านทวนได้ก็จะเรียกชื่อบัญญัติของลักษณะนี้ว่าการสวดสาธยายหรือบรรยายธรรม แต่เป็นการสวดสาธยายหรือบรรยายธรรมที่ทรงจำไว้ให้ตนเองฟังเพื่อสร้างเหตุคือความเข้าใจพระธรรม ไม่ใช่การสวดสาธยายธรรมเพื่อขอผลต่างๆ แบบคนที่ไม่รู้ความหมายไม่รู้อรรถ แต่สักกีี่คนจะสวดสาธยายธรรมแล้วคิดแบบนี้หากไม่ใช่ผู้ที่มีความเข้าใจพระธรรมมาก่อน ส่วนมากจึงสวดสาธยายเพื่อขอผลที่ไม่สมควรแก่เหตุ แต่ท่านที่สวดสาธยายแบบไม่ขอผลก็มีเช่นกัน เช่นบางท่านไม่มีอุปกรณ์ที่จะเปิดอ่านหรือเปิดฟังธรรม หรือบางท่านป่วยหนัก หูดับ ตามัวมองไม่เห็น ตอนนั้นการฟังการอ่านย่อมทำไม่ได้ ท่านเหล่านั้นก็อาศัยว่าตนมีความทรงจำข้อความของท่านอาจารย์หรือข้อความในพระสูตรและอรรถกถาได้คล่องปากขึ้นใจเลยพูดออกมาหรือสาธยายในใจเพื่อทบทวนหรือบรรยายธรรมที่ได้ทรงจำมาให้ตนเองฟังในใจ แต่ท่านเหล่านั้นจะเข้าใจและเกิดกุศลแค่ไหนอย่างไร เราไม่สามารถไปคิดแทนหรือรีบตัดสินคนอื่นได้ อีกทั้งจิตเจตสิกนั้นเกิดดับสลับไวมาก จะเป็นกุศลตลอดเวลาก็ไม่ใช่ฐานะ แม้ฟังธรรมอยู่แล้วบอกว่าไม่มีอกุศลเกิดเลย ก็ไม่ใช่ผู้ตรงต่อสภาพธรรมที่เกิดขึ้นจริงในบุคคลที่ยังไม่ถึงลำดับขั้นที่จะละอกุศลได้หมดจด เพราะเป็นจิรกาลภาวนา

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ผู้มีความประมาท
วันที่ 20 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
peem
วันที่ 23 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
prefix9k
วันที่ 20 ธ.ค. 2566

#สาธุอนุโมทนาวันทาในมหากุศล ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 13  
 
nui_sudto55
วันที่ 28 พ.ย. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ