สับสนอยู่ด้วยอำนาจคติ?

 
JYS
วันที่  22 ก.ค. 2559
หมายเลข  28010
อ่าน  1,246

ใน อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ตัณหาวรรคที่ ๒๔

ในกาลต่อมา พระนางเสด็จเข้าไปยังสถานเป็นที่ถ่ายอุจจาระ ทอดพระเนตรเห็นหมู่หนอนแล้วยังปุฬวกสัญญาให้เกิดขึ้นในที่นั้น ได้ปฐมฌานแล้ว พระนางดำรงอยู่ในอัตภาพนั้นจนสิ้นอายุ จุติจากอัตภาพนั้นแล้ว เกิดในพรหมโลก
ก็แล พระนางครั้นจุติจากอัตภาพนั้นแล้ว "สับสนอยู่ด้วยอำนาจคติ" จึงเกิดแล้วในกำเนิดสุกรในบัดนี้ เราเห็นเหตุนี้ จึงได้ทำการแย้มให้ปรากฏ.
ภิกษุทั้งหลายมีพระอานนทเถระเป็นประมุข สดับเรื่องนั้นแล้วได้ความสังเวชเป็นอันมาก

ผมมีความสงสัยว่า เป็นผู้ที่ได้ปฐมฌาน ฉะนั้นเมื่อจุติจิตเกิดขึ้นและปฏิสนธิในเดรัจฉานภูมิเล่า?

ธรรมดาผู้ได้ฌาน เมื่อบังเกิดแล้วในพรหมโลก ผู้นั้นเมื่อสิ้นจากพรหมภูมิของตนนั้น ก็ไปปฏิสนธิใน เทวโลกไม่ก็ไปปฏิสนธิในมนุษย์ มิใช่หรือ? คือผมเคยรู้มาว่าผู้เป็นพรหมบุคคลนั้นเมื่อสิ้นจากพรหมโลกนั้นแล้ว บ้างก็เกิดในพรหมโลกนั้นอีก บ้างก็เกิดในพรหมโลกชั้นสูงๆ ขึ้นไป (เพราะเจริญฌานสมาบัติให้ยิ่งๆ ขึ้น) แต่ธรรมดาแล้วเมื่อไม่มีเหตุที่จะให้ไปปฏิสนธิต่อในพรหมภูมิชั้นเดิมหรือชั้นสูงๆ ขึ้นไป ก็ย่อมมาเกิดในสวรรค์ ในมนุษยภูมิ เพราะว่าตอนที่เป็นพรหมบุคคลนั้นเพราะอำนาจของฌาน ความโกรธย่อมไม่ปรากฏ ประมาณว่าเพราะกำลังฌานข่มโทสะไว้ แน่นอนว่าส่วนใหญ่ก็จะเจริญฌาน เข้าฌาน ย่อมเป็นกุศลโดยมาก และเพราะมี เมตตา กรุณา มุทิตา อเบกขา แม้พ้นจากพรหมโลกย่อมต้องมาเกิดในเทวโลกโดยส่วนมากหรือไม่ก็กำเนิดในมนุษยโลก

เหตุไฉนจึงเป็นผู้ "สับสนอยู่ด้วยอำนาจคติ" ไปกำเนิดในติรัจฉานภูมิได้เล่า?

สับสนอยู่ด้วยอำนาจอำนาจคติ คืออย่างไร?

ขอความกรุณาช่วยชี้แนะโดยละเอียดด้วยครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 23 ก.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สับสนอยู่ในอำนาจ คติ คือ เกิดตาย ไปในภพภูมิต่างๆ มากมาย ตามอำนาจของกรรมที่ได้ทำมามากมายนั่นเอง เพราะฉะนั้น กรรมที่ได้ทำมากมาย ตราบใดที่ยังมีกิเลส ที่เป็นเชื้อให้เกิด ก็ยังเกิดตาย ไม่มีที่สิ้นสุด หนทางไม่เกิดอีก คือ การอบรมปัญญาเพื่อรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง อันเป็นหนทางการสิ้นกิเลส ครับ

ทุกคนเกิดมาแล้ว ล้วนมีความตายเป็นที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครรอดพ้นจากความตายไปได้เลย ตามความเป็นจริงแล้วก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ ก็ไม่ทราบว่ามาจากไหน คือ ไม่ทราบว่าก่อนที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์นี้ชาติก่อนเกิดเป็นอะไรมา, ต่อจากนั้น จะไปไหน ก็ยังไม่ทราบ คือ เมื่อละจากโลกนี้ไปแล้ว จะไปเกิดในที่ใด ภพภูมิใด ไม่สามารถจะทราบได้ เพราะขึ้นอยู่กับกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นสำคัญ, ที่แน่ๆ ย่อมทราบว่า จะต้องตายอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ทราบ ว่า จะตายตอนไหน กล่าวคือ จะตายตอนเช้า ตอนสาย ตอนบ่าย ตอนค่ำ ตอนกลางคืน ก็ไม่สามารถจะทราบได้ นี้คือความจริง, ในแต่ละวัน ชีวิตของคนเราซึ่งเป็นปุถุชนผู้หนาแน่นไปด้วยกิเลส หมดไปกับการนอน การทำงาน การบริโภค การชำระล้างร่างกาย การเดินทาง เป็นต้น ถ้าหากว่าจะมีการฟังธรรม ศึกษาพระธรรมบ้าง เจริญกุศลประการต่างๆ เช่นให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น บ้าง ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏบ้าง ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของชีวิตเท่านั้นเอง

พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒- หน้าที่ 427

ข้อความบางตอน จาก ปิยสูตร

[๓๓๖] พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสไวยากรณ์คำร้อยแก้วนี้จบลงแล้ว จึงได้ตรัสคาถาคำร้อยกรองต่อไปอีกว่า

เมื่อความตายเข้าถึงตัวแล้ว บุคคลย่อมละทิ้งภพมนุษย์ไป ก็อะไรเป็นสมบัติของเขา และเขาจะพาเอาอะไรไปได้ อนึ่ง อะไรเล่าจะติดตามเขาไปประดุจเงาติดตามตนไป ฉะนั้น.

มัจจาผู้ที่มาเกิดแล้วจำจะต้องตายในโลกนี้ ย่อมทำกรรมอันใดไว้ คือบุญและบาปทั้งสองประการ บุญและบาปนั้นแล และบาปนั้นไป อนึ่ง บุญและบาปนั้นย่อมเป็นของติดตามเขาไปประดุจเงาติดตามตนไป ฉะนั้น.

เพราะฉะนั้น บุคคลพึงทำกัลยาณกรรมสะสมไว้เป็นสมบัติในปรโลก ด้วยว่า บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก.

ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 23 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 23 ก.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ที่ยังวนเวียนในสังสารวัฏฏ์ เพราะยังไม่ได้ดับเหตุที่ทำให้มีการเกิด เมื่อกล่าวถึงการเกิดในภพภูมิต่างๆ แล้ว ย่อมไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรม จึงมีการบัญญัติให้รู้ว่าเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน เกิดเป็นเทวดา เป็นต้น ผู้ที่พ้นจากการเกิดมีเพียงบุคคลประเภทเดียวเท่านั้น คือ พระอรหันต์

ประโยชน์ที่ควรพิจารณาจริงๆ คือ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ไม่ควรที่จะประมาทในชีวิต ควรอย่างยิ่งที่จะได้เจริญกุศลทุกประการ สะสมแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิตประจำวัน พร้อมทั้งฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา ด้วย สะสมความดีในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าละเลยในสิ่งเหล่านี้ เป็นผู้ประมาทมัวเมาประกอบแต่กุศลกรรม เมื่อกุศลกรรมให้ผล ทำให้ไปเกิดในอบายภูมิแล้ว เมื่อนั้น ก็ไม่สามารถจะโทษใครได้เลย เพราะตนเองเป็นผู้กระทำกรรมไม่ดีเอง ผลที่ไม่ดีก็ย่อมเกิดกับตนเองเท่านั้น ใครๆ ก็ช่วยไม่ได้ ครับ

...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
JYS
วันที่ 23 ก.ค. 2559

ขอบคุณครับ อนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
peem
วันที่ 23 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 23 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
wirat.k
วันที่ 24 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ประสาน
วันที่ 25 ก.ค. 2559

สาธุๆ ๆ อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
kukeart
วันที่ 31 ก.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ