เรื่อง เจ้ากรรมนายเวร อีกสักที
ดิฉันฟังเรื่องเจ้ากรรมนายเวรอยู่หลายหน แต่ละหนก็เว้นช่วงห่างกันนานพอควรจะเกิดความเข้าใจแตกต่างกันไป ครั้งล่าสุดจึงเข้าใจได้จริงๆ ว่า คำว่า " เจ้ากรรมนายเวร " ตามความเข้าใจของคนทั่วไปที่เชื่อถือต่อๆ กันมานั้น ไม่ตรงกับสภาพธรรมเพราะว่ามีหลายๆ ครั้ง ที่ดิฉันต้องเจ็บตัวมากบ้างน้อยบ้าง โดยตัวเองทำผิดพลาดเอง ไม่ได้มีผู้อื่นมาทำให้เจ็บตัว ถ้าอย่างนั้น ดิฉันจะไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองหรอกหรือ? พิจารณาดู การกระทำของบุคคลนั้นเองในอดีต (ไม่ว่าจะเป็นอดีตแต่หนไหนหรืออดีตเมื่อสักครู่ก็ตาม) ได้ช่องและถึงโอกาสที่จะให้ผลมากกว่า จึงได้เกิดเหตุการณ์หนึ่งๆ ขึ้นตามหน้าที่ของกรรม แต่ว่า... เวลามีคนวิ่งไม่ดูทางมาชนดิฉันจนเจ็บตัวดิฉันก็ยังหงุดหงิดอยู่นะ (ทั้งๆ ที่ก็รู้ว่าเขาไม่ได้ตั้งใจ) แม้ว่าจะเป็นระยะเวลาอันสั้นลงมากกว่าเมื่อก่อนแล้วก็ตาม นี่ยังไม่นับเรื่องจุกจิกประปรายรายวัน ยอมรับค่ะว่า ความเป็นปุถุชนนี้ ยังหนีความเป็นตัวตน เรา เขา และมักหลงลืมสติ ไม่พ้นเลยจริงๆ เฮ้อ.....
อนุโมทนาค่ะ ...
พื้นฐานของการอบรมเจริญปัญญาก็คือว่า ต้องรู้ความต่างระหว่างขณะที่มีสติกับขณะที่หลงลืมสติ มิฉะนั้น ก็จะอบรมเจริญปัญญาต่อไปไม่ได้ " จิตเป็นอกุศลก็รู้ว่าจิตเป็นอกุศล ย่อมดีกว่าผู้ที่แม้จิตเป็นกุศลก็ไม่รู้ "
สมจริงดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า เรามีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ มีกรรมเป็นทายาท ทำดีทำชั่วเป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น ขณะที่เราได้รับความเจ็บทางกายขณะนั้นเป็นอกุศลวิบาก แต่ขณะที่เราหงุดหงิด เป็นอกุศลจิต แค่ขุ่นใจนิดหน่อยก็เป็นโทสมูลจิตแล้ว เห็นได้ว่าขณะที่จิตไม่ได้เป็นไปในทาน ในศีล ในภาวนา จิตขณะนั้นเป็นอกุศลจิต เพราะฉะนั้น เราถึงต้องไม่ขาดการฟังธรรมและเจริญกุศลทุกอย่าง
สรุปแล้วเจ้ากรรมนายเวรไม่มีค่ะ
ทุกขเวทนาเกิดแล้ว โทมนัสเวทนาก็เกิดอีก เพียงแค่ทุกข์ทางกายแล้ว ทำไมต้องให้ใจเป็นทุกข์ด้วย
สาธุ... ขออนุโมทนาความคิดเห็นของทุกท่าน
ที่กรุณาให้คำแนะนำเพิ่มเติม ขอบพระคุณมากค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ นี่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมและสนทนาธรรมนี่ก็จะไม่เข้าใจเรื่องนี้จริงๆ เลย
ขอบพระคุณค่ะ