ถามเรื่องสัมภเวสีค่ะ
อยากทราบว่าวิญญาณเร่ร่อนในทางพระพุทธศาสนาคือสัตว์ในภพภูมิไหนคะ มีกล่าวถึงไว้รึเปล่า
ถ้าหากว่ามีจริง
แล้วจริงรึเปล่าที่ว่ามีวิญญาณบางดวงที่ตายแล้วไม่ยอมไปไหน ยังคงวนเวียนอยู่กับญาติพี่น้อง คนรัก หรือบริเวณที่ตนเองประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต ซึ่งถ้าเป็นเรื่องจริงก็หมายความว่าวิญญาณเหล่านั้นยังคงจำเรื่องราวต่างๆ ตอนที่ตัวเองยังมีชีวิตได้อยู่ถูกมั้ยคะ
แต่ในความเป็นจริงเมื่อจุติจิตดับ ปฏิสนธิเกิดต่อทันทีเป็นการเปลี่ยนจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง ไม่สามารถกลับมาเป็นคนเดิมได้อีก แม้แต่ความทรงจำยังเอาไปด้วยไม่ได้
แล้วทำไมวิญญาณเร่ร่อนเหล่านั้นถึงยังจำเรื่องราวต่างๆ ตอนที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ได้ราวกับเป็นบุคคลเดิมเลยล่ะคะ เลยสงสัยขึ้นมาว่าความเชื่อเหล่านี้เป็นความเห็นผิดรึเปล่าคะ
อยากเข้าใจธรรมะยิ่งๆ ขึ้นไปค่ะ (เพิ่งเริ่มฟังธรรมะจากท่านอาจารย์สุจินต์ได้ไม่นานค่ะ ถึงแค่พื้นฐานพระอภิธรรมแผ่นสองเอง)
รบกวนท่านผู้รู้ช่วยให้คำตอบด้วยนะคะ
ขอบคุณมากค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คำว่า สัมภเวสี แปลว่า ผู้แสวงหาการเกิด หมายความว่า เป็นผู้ยังต้องเกิดอีก ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังไม่ได้ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาดถึงความเป็นพระอรหันต์ก็ยังต้องมีการเกิดในภพต่างๆ อยู่ร่ำไป ตายแล้วเกิดทันที ยังต้องท่องเที่ยววนเวียนไปในสังสารวัฏฏ์อีกต่อไป ดังนั้น เมื่อกล่าวอย่างกว้างๆ แล้ว ใครก็ตาม ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ได้ชื่อว่า เป็นสัมภเวสี ทั้งหมด คำว่า สัมภเวสี ผู้แสวงหาการเกิด หมายความว่า เป็นผู้ยังต้องเกิดอีก ถ้าเกิดเป็นโอปปาติกะ คือ เกิดผุดขึ้นเป็นตัวโตทันทีเลย อย่างเช่น เทวดา ช่วงระหว่างบุคคลใหม่ กับบุคคลเก่าต่อเนื่องกันทันที เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น จึงทำให้จำเรื่องราวต่างๆ และสิ่งที่ตนเคยทำทั้งดีและไม่ดีไว้ในเมื่อครั้งที่ยังเป็นมนุษย์ ได้
[เล่มที่ 17] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่มที่ ๑๗ -หน้าที่ ๕๖๖, ๕๖๗
เหล่าสัตว์ที่เสาะหา คือ แสวงหาการสมภพ คือ การเกิด ได้แก่ การบังเกิดขึ้น ชื่อว่า สัมภเวสี. สัตว์เหล่าใด กำลังแสวงหาการเกิด สัตว์เหล่านั้น ชื่อว่า สัมภเวสี, คำว่า สัมภเวสี นี้ เป็นชื่อของพระเสขะและปุถุชนผู้กำลังแสวงหาการเกิดต่อไป เพราะยังละสังโยชน์ในภพไม่ได้ (คือ ละความติดข้องในภพ ยังไม่ได้) . .
ต้องมั่นคงในความเป็นจริงว่า ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสได้หมดสิ้นถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องมีการเกิดอยู่ แต่ว่าจะเกิดเป็นอะไรหลังจากที่สิ้นชีวิตไปแล้วนั้น ก็เป็นไปตามกรรม ถ้ากรรมดีให้ผลนำเกิด ก็ทำให้เกิดในสุคติภูมิ เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นเทวดา แต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ทำให้เกิดในอบายภูมิ เกิดในนรก เกิดเป็นเปรต เกิดเป็นอสุรกาย หรือ เกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ตามควรแก่อกุศลกรรม ความจริงเป็นอย่างนี้ ที่เกิดในภพต่างๆ นั้น ก็คือ ความเกิดขึ้นเป็นไปของธรรม นั้นเอง กล่าวคือ จิต เจตสิก รูป ไม่มีสัตว์บุคคล ตัวตน มีแต่ธรรมเท่านั้น เมื่อสิ้นชีวิต ละจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่สามารถย้อนกลับมาเป็นบุคคลนี้ได้อีก แต่จะเกิดเป็นบุคคลใหม่ในภพใหม่ ตามกรรม
และขออนุญาตเพิ่มเติมในคำว่า วิญญาณ, วิญญาณ เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งเป็นนามธรรม เป็นสภาพธรรมที่รู้แจ้งอารมณ์ มีพยัญชนะหลายประการที่หมายถึงสภาพธรรมประเภท นี้ เช่น จิต หทัย มนะ เป็นต้น เพื่อให้ผู้ที่ศึกษาได้เข้าใจถึงลักษณะตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่แต่ละบุคคลมีด้วยกันทั้งนั้น (ในชีวิต ไม่ปราศจากวิญญาณเลยแม้แต่ขณะเดียว) ดังนั้น จิต กับ วิญญาณ จึงเป็นธรรมอย่างเดียวกัน วิญญาณไม่มีการล่องลอย ไม่มีรูปร่าง วิญญาณไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว เพราะมีอยู่ทุกขณะ แม้แต่ขณะนี้ที่เห็น ก็เป็นวิญญาณ คือ จักขุวิญญาณ ขณะที่ได้ยิน ก็เป็นวิญญาณ คือโสตวิญญาณ เป็นต้น ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัว แต่เป็นสิ่งที่ต้องศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ที่สำคัญคือ จะขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวันไม่ได้เลย ครับ ครับ
..ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาในบุญกุศลที่ท่านเจ้าของคำถามสะสมมาจนได้มาฟังพระธรรมที่ถูกต้อง และมีคำถามที่คนทั่วไปมักเชื่อถือไม่ได้ศึกษา คำว่า สัมภเวสี ที่ท่านวิทยากร (อ.คำปั่น) กรุณาให้ความกระจ่าง....ความจริง เราท่านทุกคนที่ยังวนเวียนเกิดอีกนี่แหละคือ สัมภเวสี ตัวจริงไม่ต้องไปหาที่ไหน แต่ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยชอบชื่อนี้เลย...ทำไงได้ครับในเมื่อยังยังกิเลสทุกอย่างครบถ้วนก็ต้องวนเวียนเกิดอีกเช่นนี้ นอกจากการได้มีโอกาสฟังพระธรรมที่ถูกต้องที่จะทำให้ "ค่อยๆ เข้าใจ" สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง พอเป็นเหตุให้เห็นโทษของสิ่งที่ไม่ดี แล้วค่อยๆ ทำดีเพิ่มขึ้นทีละน้อย ค่อยๆ ขัดเกลาความไม่ดีที่สะสมมา
ขอขอบคุณสำหรับคำถาม และขอเป็นกำลังใจให้ฟังต่อไปนะครับ