ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย [ครั้งที่ 18] จะรู้ได้อย่างไรว่าใครแสดงธรรมะถูกต้อง?
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สืบเนื่องจากการที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และคณะวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ อ.ธีรพันธ์ ครองยุทธ และ อ.ธิดารัตน์ หอมจันทร์ ได้รับเชิญจากแพทย์หญิงเด่นหล้า ปาลเดชวงศ์ เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ คุ้มภูผาหมอก บ้านผาสามยอด อำเภอภูกระดึง จังหวัดเลย ระหว่างวันที่ ๙-๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา
แม้ไม่มีโอกาสได้เดินทางไปด้วย แต่ข้าพเจ้าก็ได้รับฟังการถ่ายทอดสดการสนทนาอยู่ที่บ้าน ซึ่งในครั้งนี้ มีผู้ที่ยังไม่เคยได้พบเห็นหน้ากันมาก่อนหลายท่าน มีท่านหนึ่งที่สนทนากับท่านอาจารย์และมีคำถามที่น่าสนใจมากอันหนึ่ง ซึ่งมักเป็นความสงสัยของผู้ใหม่หลายท่านเช่นกัน คือมีความสงสัยว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นผู้ที่กล่าว หรือ แสดงธรรมะที่ถูกต้อง ตรงตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะแต่ละท่านก็นำข้อความที่อ้างว่านำมาจากพระไตรปิฎก ทั้งสิ้น
ในครั้งนี้ ท่านอาจารย์ได้กล่าวตอบด้วยความไพเราะ จับใจ เป็นที่ซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง แม้จะเป็นความการสนทนาสั้นๆ แต่ซาบซึ้งที่ท่านเมตตากล่าวคำเกื้อกูลประการต่างๆ เพื่อจุดประสงค์เดียวคือ ให้ผู้ฟังมีความเข้าใจของตนเอง เพราะเหตุว่า ปัญญาของตนเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งในการที่จะรู้ว่า คำใดเป็นคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำใดไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำของคนอื่น หากท่านที่สนใจที่จะมีความเข้าใจจริงๆ เป็นผู้ที่พิจารณาในเหตุและผลโดยละเอียดแล้ว ย่อมจะเป็นผู้ที่ทราบได้อย่างแน่นอนว่า คำใดเป็นคำจริงและคำใดไม่ใช่ (อนึ่ง ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาสำหรับภาพถ่ายที่นำมาประกอบกระทู้ จาก ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ คุณเผดิม ยี่สมบุญ คุณวรศักดิ์ ราชตา ครับ)
คุณสมุย คือ (เพื่อนๆ ) เขาจะพูดว่า ที่หนูไปฟังท่านอาจารย์สุจินต์ จะรู้ได้อย่างไรว่าอันนี้ถูก และสิ่งที่เขาฟัง ซึ่งเขาก็บอกว่ามาจากพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นพุทธวจน ซึ่งตรงนี้ เราก็ไม่มีปัญญาที่จะแยกออกว่า สิ่งนี้เป็นพุทธวจน สิ่งนี้เป็นพระอภิธรรม ซึ่งถ้าอยู่ในบ้านเดียวกัน ครอบครัวเดียวกัน ถ้ามีการไปคนละที่ ที่มีการสะสมหรือว่าสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา ไม่เหมือนกัน ท่านอาจารย์จะมีความ.....
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น เป็นผู้ที่ไม่ประมาทในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะต้องศึกษาอย่างละเอียด แม้คำเดียวว่า "ธรรมะ" จะเป็นพระพุทธพจน์หรือไม่ใช่พุทธพจน์ ไม่ต้องคำนึงถึงเลย แต่ว่า ธรรมะคืออะไร? นี่คือ "ความเข้าใจ" แล้วจะรู้ได้ว่า ความเข้าใจนี้ มาจากใคร?
ท่านพระสารีบุตรเข้าใจธรรมะไหม? "คำ" ของท่านพระสารีบุตร จริงหรือเปล่า? ทำให้ท่านพระมหาโมคคัลลานะถึงความเป็นพระโสดาบัน แล้วท่านพระสารีบุตรเป็นใคร? พูดแล้วไม่ต้องเชื่อ? เชื่อแต่พระพุทธพจน์หรือ? เพราะเขาไม่รู้ว่า พุทธพจน์คืออะไร? "พุทธ" คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า "พจน์-วัจน" ก็คือคำของพระองค์ พระองค์ตรัสไว้ว่า ผู้ใดที่พูดความจริงถูกต้อง ผู้นั้นพูดคำของเราทั้งหมด!!!
เพราะฉะนั้น "คำจริง"ไม่ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสด้วยพระองค์เอง ท่านพระสารีบุตร พระอรหันต์ทั้งหลาย ทั้งหมด พูดคำที่จริงทุกคำ ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะพูดความจริงอย่างนั้นได้ไหม? รู้ได้เลยว่า "คำจริงทั้งหมดที่ถูกต้อง" เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าบอกว่า ธรรมะคืออะไร? ธรรมะคือสิ่งที่มีจริง แค่นี้ ชัดเจนไหม? ถ้ามิเช่นนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร? ถ้าสิ่งนั้นไม่มี!!!
แล้วอะไรมีจริงเดี๋ยวนี้? "เห็น" มีจริงๆ เมื่อเห็นมีจริง "เห็น" เป็น "ธรรมะ" หรือเปล่า? แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ "ความจริงของเห็น" หรือเปล่า? ทรงประกาศความจริงของ "เห็น" หรือเปล่า? ว่า "เห็น" เป็น "ธรรมะ" ไม่ใช่ใคร!!! ไม่ใช่ของใคร!!! ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร!!! ถ้าฟังอย่างนี้!! ก็รู้ได้เลย (ว่า) ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีคำว่า "ธรรมะ-สิ่งที่มีจริง" ซึ่งพระองค์ตรัสรู้สิ่งที่มีจริง และทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง
เพราะฉะนั้น คำใดก็ตามที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงให้เข้าใจถูก ผู้นั้นได้ฟังคำนั้นแล้วเข้าใจ จึงสามารถที่จะพูดถึงความจริงของสิ่งนั้นได้!!! ไม่ใช่ปฏิเสธ (ว่า) ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส แต่ว่า ใครก็ตาม ที่พูดคำจริง ความจริง เพราะได้ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูด "ทุกคำ" เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า!!!
คุณสมุย แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า เป็นคำของพระพุทธเจ้าคะ ท่านอาจารย์?
ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร? หาได้ไหม? ใช้คำว่า "ตรัสรู้" ไม่ใช่แค่ "รู้" แค่ "เข้าใจ" แต่ "ตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด" ของอะไร? เพราะฉะนั้น ข้อคิด ก็คือว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร? ถ้าไม่รู้คำนี้ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ "แค่คำเดียว" ต้องรู้ ทีละคำ ทีละคำ อย่างมั่นคง!!!
ใครก็ช่วยใครไม่ได้!!! ต่างคนก็ต่างสะสมมา ที่จะพิจารณาว่า อะไรถูก อะไรตรง อะไรจริง อะไรผิด อะไรไม่ถูก อะไรไม่ตรง เพราะทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ตรง" แล้วก็เป็นคำจริงซึ่งไม่ค้านกันเลย ทุกคำสอดคล้องกันหมด!!! แม้แต่คำว่า "อนัตตา" ก็ไม่ใช่ให้ใครไปทำอะไร ถ้าให้ใครไปทำอะไร (แสดงว่า) ไม่เข้าใจอะไรเลย!!! ยิ่งส่งเสริม "ความเป็นเรา" ที่ "จะทำ" นั่นเป็นคำสอนของคนที่ไม่ใช่ผู้ตรัสรู้!!!
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น ที่จะรู้ว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะอะไร ก็คือว่า "พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร?" หาได้ไหม? เพราะทุกคนก็บอกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ "ความจริง" เพราะฉะนั้น ทรงตรัสรู้อะไร? ที่เป็น "ความจริง" !!! (เงียบ...ไม่มีคำตอบ)
(ท่านอาจารย์เมตตาเกื้อกูล อยู่สนทนาธรรมเป็นการส่วนตัวกับคุณหมอเด่นหล้า ตั้งแต่เวลาหกโมงเย็นถึงราวห้าทุ่ม-กราบอนุโมทนาขอบพระคุณสำหรับภาพและคำบรรยายจาก ผศ.อรรณพ หอมจันทร์)
เห็นไหม? แล้วจะตั้งต้นอย่างไร? ตั้งต้น โดยการเชื่อคำของคนอื่น??? แต่ไม่ได้ทำให้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น!!! แม้แต่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน เพราะทรงตรัสรู้ความจริง ของสิ่งที่มีจริงด้วย!! เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้ มีสิ่งที่มีจริงไหม? อะไร? เป็นสิ่งที่มีจริง?
คุณสมุย เห็น,ได้ยิน
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ฟังธรรมะ เรารู้ไหม?
คุณสมุย ไม่ทราบเลยค่ะ
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ว่า "เห็น" เป็นธรรมะ-สิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่เรา เพราะว่า "ธรรมะทั้งหมด" เป็น "อนัตตา" คำนี้ปฏิเสธไม่ได้เลย "อนัตตา" หมายความว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ถ้าเข้าใจคำนี้ ฟังต่อไป ไม่ใช่ "เราเห็น" ไม่ใช่ "เราได้ยิน" แต่ธรรมะเกิดขึ้น "เห็น" แล้วก็ดับไป ส่วนธรรมะที่ได้ยิน ก็ไม่ใช่ธรรมะที่เห็น แต่เป็นสิ่งที่มีจริง อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น แล้วดับไป เพราะฉะนั้น สภาพธรรมะก็ปรากฏไม่รวมกัน ให้เข้าใจหลงยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง เพราะความจริงกำลังเกิดดับ สืบต่อ ตลอดเวลา นี่เป็น "คำจริง" หรือเปล่า? พูดถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้หรือเปล่า?
เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า "อริยสัจสี่" คือ อะไร? เห็นไหม? ทุกคำสอดคล้องกันหมด ไม่ใช่คำของคนอื่นเลย คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดง ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น เพื่อให้ "ปฏิปัตติ" ปัญญาอีกระดับหนึ่งเกิดขึ้น สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้!!! "ทีละหนึ่ง" ตรงตามความเป็นจริงได้ เป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง จากปริยัติ เป็นปฏิปัตติ อบรมจนกว่าจะแทงตลอดว่า สิ่งที่ปรากฏตรงตามที่ได้ฟังทั้งหมด "ไม่มีเรา" เป็นธรรมะทั้งหมด!!!
(คุณปาริชาติ มาจากขอนแก่น ฟังมาประมาณ 2 ปี ไม่เคยพบตัวจริงท่านอาจารย์เลย สนใจธรรมะเพียงเพราะได้ฟังว่า "ขณะนี้เป็นจิตไม่ใช่เรา" มีความเข้าใจแนวทางที่ถูกต้อง และดีใจมากที่ได้มาในครั้งนี้-ภาพและข้อมูลจาก ผศ.อรรณพ หอมจันทร์ กราบอนุโมทนาครับ)
นี่ต่างกับ "คำของคนอื่น" ใช่ไหม? คำคนอื่น "ให้ทำ" แต่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า "ให้เข้าใจถูก" เป็นปัญญาของผู้ฟังเอง!!! เป็นมรดกที่ล้ำค่า เพราะว่า เราไม่มีปัญญาเองแน่ๆ !! ใช่ไหม? มาจากใคร? มาจาก "คำ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ผู้ใดเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความเข้าใจนั้น "เริ่มเกิด" แล้วก็ "ค่อยๆ อบรมไป" จนสามารถที่จะดับกิเลสได้!!!
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
อนุโมทนาสาธุ .. เข้าใจ ถูกต้องชัดเจน กราบ บูชา ท่านอาจารย์ และอนุโมทนา กับ คุณสมุย ผู้ถาม.. ขอให้คุณสมุย เจริญ ใน ธรรม ยิ่งๆ ขึ้น ไป .. สาธุ
กราบขอบพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
และขอขอบพระคุณ ทุกๆ ท่านที่ให้ความเมตตาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ปัญญาที่เกิดจากการฟังธรรม แม้ในขั้นการฟังก็ทำให้ละความเห็นผิดๆ ในสังคมชาวพุทธไปได้มากมาย
ทำตามๆ กันไม่รู้อะไรเลย มีแต่ความไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าจะต้องทำถึงเมื่อไหร่ถึงจะรู้ ฟังธรรมะตอนนี้ เข้าใจตอนนี้ ฟังไปเรื่อยๆ ก็เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ แน่ใจขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องรอค่ะ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ค่ะ และขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัย ภู่งามและทุกท่านที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่งค่ะ