คนที่รักแรงกลียดแรงถือเป็นเป็นโมหะเป็นจิตที่ตกนรกทั้งเป็นได้ไหมค่ะ

 
namkhang.k@gmail.com
วันที่  13 ส.ค. 2559
หมายเลข  28074
อ่าน  1,837

อ่านfacebookมีแต่ความเกลียดชัง รักแรงเกลียดแรงถือว่าจิตเป็นโมหะได้ไหมค่ะ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
namkhang.k@gmail.com
วันที่ 13 ส.ค. 2559

จะมีวิธีการทำให้รักแรงเกลียดแรงลดลงอย่างไรและจะช่วยเขาอย่างไร

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
paderm
วันที่ 13 ส.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

โมหะ คือ ความหลง ไม่รู้ ส่วน การเกลียด ไม่ชอบ เป็นโทสะ ครับ ซึ่งการลดแรงเกลียด ก็ด้วยการเข้าใจพระธรรม เป็นสำคัญครับ

ดังนั้นการคิดที่แยบคาย ถูกต้อง เมื่อยังโกรธ เกลียด ไม่ให้อภัย ผู้อื่น มีดังนี้ครับ

ประการ ที่ 1 พิจารณาส่วนที่ดีของบุคคลอื่น ทุกคนที่ยังเป็นปุถุชนยังมีกิเลสะสมมามากมาย ไม่เว้นแม้แต่เรา เพราะฉะนั้น ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะต้องมีกิเลสเกิดขึ้นเมื่อเหตุปัจจัยพร้อมและก็มีการล่วงเกินทางกายและวาจา ตามกำลังของกิเลสที่แต่ละคนสะสมมา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเป็นคนไม่ดีไปทั้งหมด ส่วนที่ดี ก็อาจจะมีบ้าง ดังนั้นควรพิจารณาส่วนที่ดีของเขา แม้เพียงเล็กน้อย เมื่อมีการกระทำไม่ดีกับเรา ก็เข้าใจถึงความเป็นธรรมดาของปุถุชนที่จะต้องมีทุกคนรวมทั้งเราด้วย จึงพิจารณาส่วนที่ดีของเขานั่นเองครับ

ประการที่ 2 พิจารณาโดยความเป็นญาติกันในสังสารวัฏฏ์ สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดมาในสังสารวัฏฏ์ เกิดมาในฐานะต่างๆ กันมากมาย ทั้งเคยเป็นบิดาและมารดาเรามาแล้ว เมื่อเคยเป็นมารดาเรา เคยดูแล อุ้มท้องและให้สิ่งดีๆ กับเรามากมาย เมื่อเป็นเช่นนี้ ควรมีเมตตาและเข้าใจถึงความมีพระคุณของบุคคลนั้น แม้บุคคลนั้นจะทำไม่ดีกับเรา แต่เขาก็เคยมีพระคุณกับเรานั่นเอง ควรเข้าใจและอดทน ในบุคคลที่เคยมีพระคุณ ครับ

ประการที่ 3 พิจารณาเพราะกรรมไม่ดีในอดีตที่เคยกระทำไว้ ได้รับการกระทำไม่ดีจากคนนั้น หรือ การที่เราได้ยินเสียงที่ไม่ดีจากคนนั้นซึ่งเป็นคนที่เราให้อภัยยังไม่ได้ การได้รับสิ่งที่ไม่ดี ต้องมีเหตุ แน่นอนครับว่าต้องเป็นผลของอกุศลกรรมที่ไม่ดีที่ได้เคยทำไว้ จึงทำให้ได้รับการกระทำที่ไม่ดีจากคนอื่น เพราะการได้รับการกระทำไม่ดี มีการได้ยินเสียงที่ไม่ดี เป็นต้น ในทางธรรมแล้ว เป็นผลของกรรมที่ไม่ดีครับ เมื่อทำเหตุที่ไม่ดีไว้ ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะต้องได้ยินเสียงที่ไม่ดี ได้รับการกระทำที่ไม่ดี

ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่ไม่ดีที่เกิดจากการกระทำของคนอื่น จะมีไม่ได้เลย หากไม่มีการกระทำกรรมไม่ดีของตนเอง เพราะฉะนั้นกระทำกรรมไม่ดีของเราเองในอดีตที่ทำให้กรรมนั้นให้ผล จึงได้รับสิ่งที่ไม่ดี จากใครก็ตามก็แล้วแต่ แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครที่ทำให้เรา กรรมต่างหากที่ทำให้ได้รับสิ่งที่ไม่ดี ที่สำคัญก็เป็นกรรมของเราเองที่ทำไว้ จะโทษใครได้ นอกจากการที่ทำไม่ดีของเราเองที่ทำไว้ครับ ทุกอย่างจึงมีเหตุที่ทำให้ได้รับสิ่งที่ไม่ดี แทนที่จะโกรธคนนั้นมากๆ ก็ควรโกรธตนเองที่ทำไม่ดีไว้เองดีกว่า ที่จะโกรธโทษคนอื่นและไม่ให้อภัย ครับ

ประการที่ 4 พิจารณาโดยการที่สัตว์มีกรรมเป็นของของตน ใครทำกรรมใดก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น ดังนั้นการที่เขาทำกรรมไม่ดี มีกายและวาจาไม่ดี เขาก็ต้องเป็นไปตามกรรมของเขาที่จะต้องได้รับสิ่งที่ไม่ดีเช่นกัน เพราะฉะนั้นเมื่อเขาจะต้องได้รับผลที่ไม่ดีในอนาคต ควรเห็นใจเขาหรือควรจะโกรธเขาครับ เพราะเรามักจะสงสาร เห็นบางบุคคล บางเหตุการณ์ที่ได้รับสิ่งที่ไม่ดี บางคนก็ถูกจองจำ เฮลิคอปเตอร์ตก ถูกทรมานก็เพราะกรรมไม่ดีให้ผลทั้งนั้น แต่เราก็สงสารตรงที่ผลเกิดแล้ว แต่เพราะเขาทำกรรมไม่ดี ก็จึงทำให้ได้รับผลของกรรมที่ไม่ดีเช่นนี้ ดังนั้น ควรสงสาร เห็นใจตั้งแต่ที่เขาทำอกุศลกรรมในขณะนั้นว่าเขาจะต้องได้รับผลไม่ดีเช่นกันครับ

จากที่กล่าวมาทั้งหมด คือ เพื่อให้เป็นปัญญาของผู้ถามเองครับ เมื่อได้อ่านธรรมที่กล่าวมาแล้ว ก็แล้วแต่ว่าจะพิจารณาไตร่ตรองได้มากเท่าไหร่ ก็แล้วแต่การสะสมมาของแต่ละคน เพียงแต่ว่า ให้เข้าใจว่า กิเลสเกิดขึ้นนั้นเป็นธรรมดา เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ทำให้โกรธ ไม่ให้อภัยได้อีกครับ แต่ว่าอาศัยการฟังพระธรรม ได้อ่าน พิจารณาธรรมที่ถูกต้อง ก็จะค่อยๆ มีสติไวขึ้น ในการที่จะเห็นโทษของกิเลส และเปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศลได้บ้าง เพราะอาศัยการพิจารณาได้ฟังพระธรรมที่ถูกต้อง ครับ ยังละไม่ได้นะครับ แต่ค่อยๆ เข้าใจ และ ละ ไปตามลำดับได้ โดยอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไป ที่สำคัญคือ อย่าละเลย และไม่ละทิ้งการฟังพระธรรมต่อไป ครับ

ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
khampan.a
วันที่ 13 ส.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษา เป็นไปเพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม ไม่ใช่อกุศลธรรม ไม่มีพระพุทธพจน์แม้แต่บทเดียวที่ส่งเสริมหรือสนับสนุนให้คนเกิดอกุศลเลย แม้เพียงเล็กน้อย รวมถึงความโกรธ (โทสะ) ด้วย เพราะโดยทั่วไปแล้วคนเรามักจะโกรธในคนที่ทำไม่ดี แต่ความโกรธ ไม่ว่าเป็นใครโกรธ และ โกรธใคร ก็ไม่ดีด้วยกันทั้งนั้น เพราะเป็นอกุศล, เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ไม่ว่าจะจากบุคคลอื่น หรือ เรืองอื่นๆ ก็ตาม ถ้าหากว่าไม่โกรธ ไม่เกิดความไม่พอใจ ก็นับว่าเป็นบุคคลที่หาได้ยาก เพราะโดยปกติของปุถุชนผู้ที่ยังหนาแน่นด้วยกิเลสแล้ว กิเลสย่อมเกิดขึ้นมากเป็นธรรมดา แต่ก็สามารถขัดเกลาได้ ด้วยการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ตามความเป็นจริงแล้ว พระธรรมสอนไม่ให้โกรธ สอนไม่ให้อาฆาต มีแต่สอนให้มีเมตตา มีความเป็นมิตรมีความเป็นเพื่อนมีความหวังดีต่อผู้อื่น ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นใครก็ตาม "การสอนให้โกรธ ไม่มีในคำสอนทางพระพุทธศาสนา"

ความโกรธ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดได้กับทุกบุคคลเมื่อได้เหตุได้ปัจจัย แต่บุคคลผู้มีปัญญาเท่านั้น ที่จะเห็นโทษของความโกรธว่าเป็นอกุศลธรรมที่พึงละ ไม่ควรพอใจ ไม่ควรยินดีที่จะโกรธต่อไป เพราะความโกรธแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ เมื่อสะสมมากขึ้นก็อาจจะถึงขั้นผูกโกรธ พยาบาท เกลียดชัง แค้นเคือง ที่จะเป็นเหตุให้เกิดการประทุษร้าย ทางกาย หรือทางวาจาในภายหน้า ได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีเลยดังนั้น ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง จึงเป็นเครื่องเตือนที่ดี และควรอย่างยิ่งที่จะน้อมประพฤติตามด้วยความจริงใจ กล่าวคือ ควรมีเมตตา มีความเป็นมิตร มีความเป็นเพื่อนต่อบุคคลอื่น ด้วยกาย วาจา ใจ เพราะเหตุว่าแต่ละบุคคลก็เป็นเพื่อนร่วมเดินทางในสังสารวัฏฏ์เหมือนกันทั้งนั้น มีทั้งดีและไม่ดี เหมือนกันทั้งนั้น การให้อภัย เห็นใจ และเข้าใจซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่ถูกต้องสมควรที่สุด แต่การไม่ชอบกัน การโกรธกัน การไม่พอใจกัน ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย มีแต่โทษอย่างเดียวเท่านั้น ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
namkhang.k@gmail.com
วันที่ 14 ส.ค. 2559

อนุโมทนาสาธุที่ให้ความสว่างทางปัญญาจะน้อมนำคำสอนไปปฏิบัติค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 14 ส.ค. 2559

ขอขอบพระคุณ และอนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
thilda
วันที่ 14 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
kukeart
วันที่ 14 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 16 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wannee.s
วันที่ 16 ส.ค. 2559

ถ้าฟังธรรมเข้าใจ ปัญญาเกิดก็จะทำหน้าที่ละคลายกิเลสเองค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ