วจีวิญญัติรูป
การไอ-จาม โดยไม่ได้ตั้งใจเพื่อแสดงการสื่อความหมาย จะเป็นวจีวิญญัติรูป หรือไม่ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
รูปที่มีใจครองนั้น เมื่อจิตต้องการให้รูปแสดงความหมายทางกายตามที่จิตรู้ในอาการนั้นขณะใด ขณะนั้นจิตเป็นสมุฏฐานให้ กายวิญญัติรูป คือ อาการพิเศษ ที่มีความหมายของรูปเกิดขึ้นตามที่จิตรู้ในอาการนั้น ทางตาหรือทางหน้า หรือท่าทาง เช่น ถลึงตา ยิ้มเยาะ เหยียดหยาม หรือห้ามปราม เป็นต้น โดยประสงค์ให้ผู้อื่นรู้ หรือ แสดงความหมาย ขณะนั้น มีกายวิญญัติ เกิดขึ้นครับ แต่เมื่อจิตไม่ต้องการให้รูปแสดงความหมาย กายวิญญัติรูปก็ไม่เกิด ครับ
ขณะใดที่จิตเป็นปัจจัยให้เกิดเสียงทางวาจา ซึ่งเป็นการพูด การเปล่งเสียงให้รู้ความหมาย ขณะนั้นจิตเป็นสมุฏฐาน คือเป็นปัจจัยให้ วจีวิญญัติรูป เกิดขึ้นกระทบฐานที่เกิดของเสียงต่างๆ เช่น ริมฝีปาก เป็นต้น ถ้าวจีวิญญัติรูปไม่เกิด การพูด หรือการเปล่งเสียงต่างๆ ก็มีไม่ได้
วจีวิญญัติ วจี (วาจา) + วิญฺญตฺติ (แสดงให้รู้ , ประกาศให้รู้) แสดงให้รู้ด้วยวาจา , ประกาศให้รู้ด้วยวาจา หมายถึง อาการพิเศษที่ทำให้รู้ความหมายได้ด้วยคำพูด วจีวิญญัติ เป็นอสภาวรูปคือไม่มีภาวลักษณะของตน แต่เป็นวิการหรืออาการของสภาวรูปที่เกิดจากจิตซึ่งมีเจตนาจะพูด ในขณะที่จิตเกิดขึ้นว่า “เราจักกล่าวคำนี้ “ ย่อมยังรูปให้ตั้งขึ้นพร้อมกับการเกิดขึ้นของจิต ปฐวีธาตุที่มีจิตเป็นอุปาทินนกรูป (รูปที่เกิดจากกรรม) ทำให้เกิดเสียงขึ้น เสียงที่เกิดจากจิตนี้ไม่ใช่ วจีวิญญัติ ความวิการแห่งอาการ ที่สามารถเพื่อเป็นปัจจัยแก่การกระทบฐานเสียงซึ่งเป็นอุปาทินนกรูปของปฐวีธาตุที่มีจิตเป็นสมุฏฐานนั่นแหละ ชื่อว่า วจีวิญญัติรูป เสียงที่ไม่ได้เกิดจากจิต ที่เป็นปัจจัยทำให้มีรูปกระทบที่ฐานของเสียง ไม่มีวจีวิญญัติรูป เช่น เสียงเรอ เสียงอ้วก เสียงที่เปล่งออกมาเป็นภาษาใดภาษาหนึ่ง แม้เสียงสุนัขที่เห่า ไม่ว่าผู้ฟังจะเข้าใจความหมายหรือไม่ก็ตาม หรือแม้พูดอยู่คนเดียว ก็มีวจีวิญญัติรูป
ดังนั้นการไอ การจาม โดยไม่ได้ตั้งใจเพื่อแสดงการสื่อความหมาย ไม่เป็น วจีวิญญัติรูป ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร มีจริง เกิดขึ้นจากสมุฏฐานของตนๆ แล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน และสภาพธรรมแต่ละอย่าง ที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้น เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ธรรมะเป็นไปอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นผู้เห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจความจริง ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่าเป็นธรรม ย่อมจะไม่ละเลยโอกาสแห่งการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการฟังพระธรรม ซึ่งจะต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงไปทีละเล็กทีละน้อย จะข้ามขั้นไม่ได้เลยทีเดียว
วจีวิญญัติ เป็นรูปที่เกิดจากจิต มีความประสงค์ที่จะทำให้รู้ความหมายที่แสดงออกมาด้วยคำพูด มีความประสงค์ที่จะทำให้รู้ความหมายด้วยคำพูด เป็นอาการของสภาวรูป ถ้าไม่มีจิตเกิดขึ้น ก็ย่อมจะไม่มี วจีวิญญัติรูป แสดงถึงความเป็นเหตุเป็นผลของสภาพธรรม เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
การที่จะเข้าใจความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีจริงได้ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ควรรู้ยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงๆ สามารถศึกษาและรู้ตามความเป็นจริงได้ ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...