โทสะเกิดบ่อยหงุดหงิดง่ายเกิดจากอะไรค่ะ

 
namkhang.k@gmail.com
วันที่  14 ส.ค. 2559
หมายเลข  28080
อ่าน  2,403

เวลาเกิดอารมณ์โกรธจะโกรธรุนแรงเกิดจากจิตแบบไหนค่ะและจะทำให้อารมณ์โกรธง่ายหายได้อย่างไร


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
paderm
วันที่ 14 ส.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

โกรธ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง คือ โทสเจตสิก เกิดกับจิตที่เป็นโทสมูลจิต จิตประเภทโทสะ ที่เป็นสภาพธรรมที่ขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ ซึ่งความโกรธสามารถเกิดได้เป็นธรรมดา สำหรับผู้ที่หนาด้วยกิเลส ที่ยังเป็นปุถุชน ซึ่งผู้ที่จะละความโกรธได้จนหมดสิ่น คือ พระอนาคามี ครับ

ซึ่งในความเป็นจริง โกรธ เป็นแต่เพียงธรรมที่เกิดขึ้น โดยมาก ของผู้ที่เผินในการศึกษาพระธรรม ย่อมที่จะละความโกรธ เพียงเพราะ รู้ว่าความโกรธไม่ดี ก็เป็นตัวเราที่จะละ เป็นตัวเราที่ไม่ดี เป็นตัวเราที่โกรธ เป็นตัวเราที่จะละความโกรธ ก็ไม่มีทางละความโกรธได้เลย เพราะฉะนั้น โกรธไม่ดี รู้แค่เข้าใจขั้นการฟัง ว่า โกรธไม่ดี แต่ ยังไม่ได้รู้จักตัวความโกรธจริงๆ ในลักษณะของความโกรธที่เกิดขึ้น จึงยังไม่รู้ว่าโกรธเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา เพราะฉะนั้น หนทางที่ถูกต้อง ในการละความโกรธ คือ เข้าใจความโกรธที่เกิดขึ้นว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ย่อมเป็นหนทางการละความโกรธได้ในที่สุด ครับ

บุคคลผู้ที่เป็นปุถุชน เป็นผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลส มีกิเลสที่ได้สะสมมาอย่างมากมาย เมื่อได้เหตุได้ปัจจัย ก็พร้อมที่จะเกิดขึ้นทันที เป็นอกุศลทันที อกุศลเป็นธรรม เกิดกับใครก็เป็นอกุศลไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ แต่เพราะไม่เข้าใจธรรมจึงมีการยึดถือว่าคนนี้ที่ทำไม่ดี สร้างความเสียหายให้แก่เรา หรือใครก็ตาม ตัวเราเองจึงเกิดอกุศลจิตเพราะการกระทำไม่ดีของผู้อื่น แท้ที่จริงแล้ว ตัวเราก็ไม่มี คนอื่นก็ไม่มี มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น แล้วจะโกรธอะไร? แต่ความโกรธ ความไม่พอใจก็เกิดขึ้นเป็นไป ตามความเป็นจริงแล้ว ควรอย่างยิ่งที่จะเห็นใจ สงสาร เข้าใจในอกุศลของบุคคลอื่น เพราะขณะนั้น เขากำลังสร้างเหตุที่ไม่ดีให้กับตัวเขาเอง ขณะที่โกรธ ขณะที่ไม่พอใจ ขณะที่ขุ่นเคืองใจ นั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ ขณะนั้นเป็นการสะสมโทสะไว้ในจิตแล้ว เมื่อสะสมมากขึ้นๆ จนโทสะ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ มีกำลังมากขึ้น วันหนึ่งวันใดข้างหน้าอาจจะถึงกับประทุษร้าย เบียดเบียน ฆ่าผู้อื่นก็เป็นได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว จึงไม่ควรเห็นว่า ความโกรธเป็นเรื่องดี ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะยินดีในความโกรธ เพราะเหตุว่า การสอนให้โกรธ การสอนให้ทำร้ายสอนให้คิดร้ายต่อบุคคลอื่นนั้น ไม่มีในคำสอนทางพระพุทธศาสนา แต่ ก็ยังเป็นการคิดเรื่อราวในความโกรธ ไม่ใช่หนทางการละความโกรธ ตามที่กล่าวมา แต่ การคิดถูกก็เป็นการสะสม สิ่งที่ดี ให้คิดดี แต่ ไม่ควรลืมว่า หนทางการละความโกรธ คือ การเข้าใจความโกรธว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ครับ พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งปัญญา ที่ทำให้ผู้ที่ศึกษา มีความเข้าใจถูก เห็นถูก เป็นไปเพื่อละอกุศล ละความไม่รู้ จนกระทั่งสูงสุดเพื่อความเป็นผู้ดับกิเลสได้หมด พ้นจากทุกข์ทั้งปวง ครับ. ขออนุโมทนา

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
khampan.a
วันที่ 14 ส.ค. 2559

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ปกติในชีวิตประจำวัน แต่ละบุคคล มีอกุศลมากด้วยกันทั้งนั้น ทั้งความติดข้อง ยินดีพอใจ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ เป็นต้น เป็นความจริงที่ว่า ความโกรธ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล ความโกรธ ก็ยังมี เมื่อมีเหตุที่จะทำให้ความโกรธเกิดขึ้น ความโกรธก็เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา ถ้าเป็นผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมฟังพระธรรมจนกระทั่งมีความเข้าใจสภาพธรรม ที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม มีความเข้าใจว่าเป็นธรรมจริงๆ แล้ว ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ก็จะลดน้อยลง ทุกอย่างเป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้นจริงๆ จึงไม่ควรโกรธใครเลยทั้งสิ้น ไม่ควรเห็นว่าโกรธเป็นเรื่องดี เพราะฉะนั้น จึงแสดงให้เห็นว่า การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลในชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง ทำให้ทุกคนมีที่พึ่ง นั่นก็คือ ปัญญา (ความเข้าใจถูก) ของแต่ละบุคคล นั่นเอง ครับ.

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

 
  ความคิดเห็นที่ 3  
 
ทิศเบื้องขวา
วันที่ 14 ส.ค. 2559

ขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
namkhang.k@gmail.com
วันที่ 15 ส.ค. 2559

สาธุค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 16 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
wannee.s
วันที่ 16 ส.ค. 2559

ขณะที่โกรธ ถ้าปัญญาเกิดก็รู้ว่าแม้ความโกรธก็เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
มานิสาโข่งเขียว
วันที่ 16 ส.ค. 2559

สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
ประสาน
วันที่ 17 ส.ค. 2559

สาธุๆ ๆ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
นายสุรพล กิจพิทักษ์
วันที่ 17 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ธนฤทธิ์
วันที่ 21 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ปล่อยวางได้
วันที่ 6 มี.ค. 2565

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ สาธุ

 
  ความคิดเห็นที่ 12  
 
chatchai.k
วันที่ 6 มี.ค. 2565

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อบรมปัญญาให้เข้าใจความจริง จะเป็นประโยชน์ทั้งชาตินี้ และชาติต่อๆ ไป กุศลที่ทำได้เสมอๆ คือ การฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีคุณค่ามหาศาลสำหรับชีวิตที่ต้องเดินทางต่อไป อีกแสนไกล และกันดาร

ขอเชิญศึกษาพระธรรม...

รวมลิงก์เมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

พระไตรปิฎก

ฟังธรรม

วีดีโอ

ซีดี

หนังสือ

กระดานสนทนา

การที่ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ทำให้มีความเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็หมดไป ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหูทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ จิตทุกขณะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ จากภพหนึ่งไปอีกภพหนึ่ง ดังนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ควรสั่งสมไปทุกภพทุกชาติ นั่นก็คือ กุศล (รวมถึงการอบรมเจริญปัญญา ในชีวิตประจำวันด้วย)

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ