ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณณภัทร เรืองจันทฤทธิ์ ๑๙ สิงหาคม ๒๕๕๙

 
วันชัย๒๕๐๔
วันที่  27 ส.ค. 2559
หมายเลข  28133
อ่าน  2,814

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจากคุณณภัทร เรืองจันทฤทธิ์ เพื่อไปสนทนาธรรมที่บ้านพัก ในหมู่บ้านพร้อมพัฒน์ PRIVA ย่านซาฟารีเวิลด์ ถนนรามอินทรา กรุงเทพมหานคร ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๓๐ น.

ครั้งนี้ เป็นครั้งที่สองแล้ว ที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ มีเมตตาเดินทางมาสนทนาธรรม ณ สถานที่แห่งนี้ โดยท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมภาพและความการสนทนาธรรมในครั้งก่อน ได้ที่นี่...ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านคุณณภัทร เรืองจันทฤทธิ์ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘

แม้ว่าการสนทนาในครั้งนี้ จะเป็นการสนทนาธรรมเพียงกลุ่มเล็กๆ แต่ท่านเจ้าภาพ มีกุศลเจตนาอย่างยิ่ง ที่จะเกื้อกูลแก่คุณสันติ เพื่อนสนิทที่ทำงานการบินไทยด้วยกันและคุณแม่ ซึ่งเป็นผู้ที่เป็นผู้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ที่มีเหตุให้ได้พบและฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากท่านอาจารย์ เมื่อครั้งไปสนทนาธรรมที่จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อหลายเดือนก่อน โดยการแนะนำของคุณณภัทร และเป็นเหตุให้ได้ติดตามรับฟังจนมีความเข้าใจขึ้น ทั้งยังได้เกื้อกูลแก่คุณแม่ ซึ่งมีความสนใจในพระศาสนา ซึ่งก่อนหน้านั้นก็หลงไปในหนทางที่ผิดๆ มาก่อน หลงไปทำในสิ่งที่เรียกกันว่าการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เดินจงกรม ที่ทำๆ กันอยู่มากมายในขณะนี้ ด้วยหวังว่าจะเป็นทางที่ทำให้รู้แจ้งธรรมะได้ แต่จากการที่ไปทำด้วยความไม่รู้ ด้วยความไม่เข้าใจในคำสอนที่ถูกต้องจากการที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดง หากเป็นผู้ที่สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ย่อมทำให้รู้ว่า ไม่ได้ทำให้มีความรู้ ความเข้าใจอะไรเลย เหมือนเช่นหลายๆ ท่าน ที่หลงไปทำ ไปปฏิบัติมา ก่อนที่จะได้พบพระธรรมเช่นกัน

อย่างไรก็ดี ในตอนนี้ ใคร่ขออนุญาตนำความการสนทนาในเรื่องของความหมายของคำว่า "เป็นผู้ตรง" และ ความหมายของคำว่า "สาระจากพระธรรม" ที่เรามักได้ยินได้ฟังบ่อยๆ แต่ว่ายังอาจไม่ชัดเจนในความหมาย ว่าทั้งสองคำนี้ มีนัยสำคัญของสภาพธรรมอย่างไร มาให้ทุกท่านได้พิจารณา ซึ่งหากพิจารณาโดยละเอียดแล้ว จะมีความเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมที่ถูกต้องที่ทรงพระมหากรุณาแสดงนั้น หาใช่อย่างที่ทำๆ กันอยู่มากมายในขณะนี้ไม่ หนทางที่ถูกต้องคือ ฟังและเข้าใจขึ้น ในคำที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ เท่านั้น ไม่ใช่การไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น

ผศ.อรรณพ พอดีที่เราสนทนากัน ก็มีผู้ฟังผ่านการถ่ายทอดสด มีกลุ่มทางภาคใต้ คุณจิว ฝากคำถามมาครับท่านอาจารย์ คำถามน่าสนใจดี และคำถามก็ดูจะต่อเนื่องประเด็นอีกหลายอย่าง ผมขออนุญาตอ่านทีเดียวก่อนนะครับ

"ผู้ตรง" จึงจะได้สาระจากพระธรรม "ผู้ตรง" คือ อย่างไรครับ? ตรงระดับไหน? จึงจะได้สาระจากพระธรรม ตรงในขั้นการฟังเข้าใจ เบื้องต้น แต่ยังไม่ละ ยังไม่เลิกการปฏิบัติผิดต่างๆ แต่นำความเข้าใจในระดับ ทาน ศีล ทั่วไป ไปประพฤติตาม อย่างนี้ได้สาระหรือยัง? หรือเมื่อละคลายอกุศลมากขึ้น มากขึ้นละคลาย "ความเห็นผิด" มากขึ้น จึงได้ประโยชน์จากพระธรรม หรือต้อง "ตรงต่อสภาพธรรมะ ที่ปรากฏ" จึงจะเป็นประโยชน์ จากพระธรรม...พูดถึงเรื่อง "ผู้ตรง" จึงจะได้สาระจากพระธรรม โดยสรุปคำถามก็คือ ความหมายอย่างไร? และ แค่ไหน? จึงจะได้ประโยชน์...

ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ศึกษาธรรมะ ตรงหลายเรื่อง เขาเป็นคนตรง ก็แค่ตรง ใช่ไหม? แต่ถ้าศึกษาธรรมะ รู้ว่าเป็นธรรมะ แล้ว "ตรงต่อธรรมะ ตามความเป็นจริงของธรรมะ".....ขณะนี้ มี "เห็น" ตรงไหม? แต่ต้องตรงต่อไปอีก "เห็น" เป็นเรา หรือเปล่า? ต้องตรงต่อไปอีก "เห็น" เกิด-ดับ หรือเปล่า? ทุกอย่าง ค่อยๆ เข้าใจ ทีละคำ จนกระทั่งเป็นผู้ที่ตรง แล้วจะไม่ไปผิดทาง!!! เพราะเหตุว่า ธรรมะเปลี่ยนไม่ได้!!!

ผศ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ คนที่เขาไม่ได้ศึกษาพระธรรม แต่เขาสะสมมาดีในระดับหนึ่ง เขาก็เป็นคนตรงไปตรงมา
ท่านอาจารย์ แต่เขาเข้าใจธรรมะไหม?
ผศ.อรรณพ ไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ตรงเรื่องอื่น แต่ไม่ใช่เรื่องตรงต่อ "เข้าใจสิ่งที่กำลังมี"
ผศ.อรรณพ เขาก็ตรงเรื่องทั่วๆ ไปว่า ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ทำอย่างนี้ไม่ถูก เขาก็ตรง ตัวเขาทำอะไรไม่ถูก เขาก็ยอมรับตรงๆ แต่อย่างนั้น ก็ยังไม่ใช่จะนำไปสู่การตรงความจริง

ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่า "เขา" ใช่ไหม? ก็ยังคงเป็น "เขาตรง" แต่ถ้าตรงต่อธรรมะ ไม่มีเขา ไม่มีเรา มีแต่ธรรมะ!!! ตรงต่อธรรมะ!!! จนกว่าจะไม่มีเรา นั่นแหละ ตรงจริงๆ !!
ผศ.อรรณพ "ตรง" ว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา นี่คือ คำตอบสุดท้าย ผมขอมาสู่คำถามต่อไปที่คุณจิวถามมาว่า...คนที่ฟังธรรมะแล้ว ก็พอจะเข้าใจเบื้องต้น แต่ก็ยังไปปฏิบัติอยู่

ท่านอาจารย์ พอจะเข้าใจเบื้องต้น ตรงต่อการรู้ว่า นั่นเป็น "เบื้องต้น" หรือเปล่า? "เบื้องต้น" คือ ปฏิบัติไม่ได้!!! นี่คือ ความตรงต่อธรรมะ!!! ต้องมีความเข้าใจธรรมะก่อน!!! แล้วก็เป็นความจริงที่ทรงแสดงไว้ว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ขั้นปริยัติ คือ ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง แต่ขณะนี้เราก็ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง ตรงก็คือว่า ยังไม่ถึง "ปฏิปัตติ" ถ้าตรง เขาจะไปปฏิบัติไหม?

ผศ.อรรณพ แสดงว่า ยังไม่ตรง ความเข้าใจขั้นการฟังก็ยังไม่ตรง จึงมีตัวตนที่ว่า ตอนนี้รู้ไม่ได้ เห็น ได้ยิน ขณะนี้ รู้ไม่ได้ ต้องไปสถานที่หนึ่ง สถานที่ใด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น กว่าจะตรง ก็ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วจะเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ขณะนี้ มีธรรมะ!!! ฟัง-เข้าใจ ว่าไม่ใช่เรา แค่เข้าใจ ผิวมากเลย เผิน แค่รู้ว่าไม่ใช่เราแต่ก็ยังเป็นเราที่เห็น ยังเป็นเราที่กำลังคิด ยังเป็นเราที่รับประทานอาหารอร่อย

เพราะฉะนั้น ถึงแม้จะฟังว่า ธรรมะไม่ใช่เรา ธรรมะเป็นธรรมะ แต่เพราะเหตุว่า เรายึดถือธรรมะว่าเป็นเรามานานแสนนาน จะออกไปหมดทันทีไม่ได้!!! คนนั้นเป็นผู้ตรงว่า เพียงแค่นิดๆ หน่อยๆ อย่างนี้ ไม่มีทางที่จะดับความเป็นตัวตนได้!!

แต่ ต่อเมื่อความรู้ ความเข้าใจ เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น คือ "ละความหวังและความต้องการ" ไม่ต้องสนใจเลยว่าจะถึงเมื่อไหร่ อย่างไร กว่าจะเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าทุกคนเป็นได้ทันที เหมือนอย่างด้ามมีด ใหญ่มาก จับทีเดียวให้สึก เพียรจับทั้งวัน ทั้งคืน สึกไหม? เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็ต้องรู้ ว่า ต้องเข้าใจทั้งหมด ว่าเป็นธรรมะ แม้แต่ความคิดหวัง ก็รู้ว่า ขณะนั้นก็เป็นสภาพธรรมะอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน เพราะฉะนั้น ต้องตรง "ทุกคำ" ต่อธรรมะ ทุกธรรมะ!!!

ผศ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ จากคำถาม ประเด็นหลักก็คือว่า ตรง จึงจะได้สาระจากพระธรรม ก็พอจะเข้าใจ "ความตรง" แล้วบ้าง ทีนี้ "สาระจากพระธรรม" ที่ได้ฟัง "สาระ" คือ อะไร?
ท่านอาจารย์ ความจริง
ผศ.อรรณพ สาระคือความจริง ได้สาระจากความจริง ได้อย่างไรครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ เข้าใจความจริง ก็มีจริงๆ ฟังแล้ว ก็เข้าใจจริงๆ ใช่ไหม? แล้วก็ยังสามารถที่จะรู้จริงด้วย นั่นคือสาระจากพระธรรมทุกคำ

ผศ.อรรณพ เพราะฉะนั้น สาระจากพระธรรมที่ฟัง ก็คือ สาระคือปัญญา จากการที่ได้ฟังแล้วมีความเข้าใจ เข้าใจ ก็เป็นสาระ คือ ปัญญาที่เข้าใจในความจริง ตั้งแต่ความจริงในขั้นฟัง คือฟังแล้วเข้าใจผิดเข้าใจถูกก็พิจารณาตามนั้น ความเข้าใจถูกก็ทำให้ได้สาระ

ท่านอาจารย์ แล้วต้องตรงต่อความเข้าใจถูกนั้นด้วย ขณะนี้รู้ว่า ธรรมะไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา แต่จะไปปฏิบัติ นี่ค้านกันแล้ว!!!
ผศ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ กำลังจะกราบเรียนถามอยู่พอดีว่า อย่างคนที่เขาฟังว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา แล้วเขาก็ว่าจริง ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่เขาบอกว่าต้องไปสำนักประกอบ มาฟังปริยัติที่นี่ ท่านอาจารย์สุจินต์บรรยายดีมาก ปริยัติ แต่ปฏิบัติต้องไปทำ

ท่านอาจารย์ เอาไปประกอบกัน แล้วก็คิดว่าจะปฏิบัติได้ดีขึ้น?
ผศ.อรรณพ แล้วอย่างนี้ ตรงไหมครับ?
ท่านอาจารย์ ตรงไม่ได้!!! ตรงได้อย่างไร? อย่างนี้จะตรงได้อย่างไร? ตรงก็คือว่า ไม่มีเราที่จะไปทำอะไร เพราะเกิดแล้ว!!! รู้สิ่งที่เกิดแล้ว แล้วจะไปไหน? อย่างเดี๋ยวนี้ กำลังเห็น ถ้าสามารถที่จะถึงระดับที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ โดยความไม่ใช่ตัวตน สภาพธรรมะปรากฏจริงๆ ไม่ต้องไปไหนเลย!!! แล้วก็รู้ว่า ไปไหนทำไม? ไปก็ด้วยความเข้าใจผิด ในเมื่อเดี๋ยวนี้เป็นธรรมะที่มี แล้วไม่เข้าใจธรรมะที่มี ไปทำอะไร? ไม่รู้สิ่งที่มีแล้ว ถ้าไม่รู้สิ่งที่มีแล้ว ไม่มีทางที่จะเห็นความเป็นอนัตตา เพราะสิ่งที่มีแล้วเดี๋ยวนี้เกิด โดยที่ว่าไม่มีใครไปทำให้เกิดขึ้น แต่มีปัจจัยก็เกิด

ผศ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ สรุปว่า "ตรง" นี่เริ่มตั้งแต่ขั้นฟัง ถ้าฟังเข้าใจนี่ ตรง ทีนี้ผมกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า มีไหมที่ฟังแล้วเข้าใจ ตรงขั้นการฟัง แต่ยังไปปฏิบัติผิดอยู่
ท่านอาจารย์ ถ้าตรงจริงๆ ไม่มีทาง!!! เพราะว่า รู้อยู่แล้วว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา และเกิดแล้วเดี๋ยวนี้!!! ทำไมไม่รู้? เพราะอะไรจึงไม่รู้ เพราะอวิชชา!!! เขาไม่รู้เหตุเลยว่า เพราะอวิชชาจึงไม่รู้ แล้วก็ไปนั่ง ปฏิจจสมุปปาท อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร แน่นอน อวิชชาทำให้ไปสำนักปฏิบัติ เพราะไม่รู้ สังขารที่เป็นอกุศลด้วย!!!

ผศ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ถ้าคิดจะมีปัญญาโดยต้องไปที่หนึ่งที่ใด ขณะนั้นก็แสดงว่า ฟังพระธรรมไม่เข้าใจ ก็คือ ไม่ได้ตรงต่อความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ มี "ความเป็นเรา" พระธรรมว่าอย่างนี้ แต่ "เราจะทำ" เห็นไหม? กำลังของโลภะ กำลังของความไม่รู้
ผศ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ความเป็นเรา ไม่ตรงอย่างไร?
ท่านอาจารย์ มีเราจริงๆ หรือเปล่า? หรือว่า มีธรรมะ!!!
ผศ.อรรณพ ความจริงแล้วมีธรรมะ ไม่ใช่เรา

ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเป็นธรรมะทั้งหมด ไม่ใช่เรา ไม่ว่าเมื่อไหร่ เวลาไหน!!!
ผศ.อรรณพ อันนี้ก็ชัดนะครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าคิดว่าเป็นเรา ขณะนั้นก็ต้องมีความรู้ว่า นั่นคือ ความเห็นผิด!!! จึงจะละได้ ตรงต่อสิ่งที่มีขณะนั้น ตามความเป็นจริง "โกรธ" มีใช่ไหม? ไม่ใช่ว่า คนเข้าใจธรรมะแล้วจะไม่โกรธ แต่ "ตรง" ก็คือว่า ขณะนั้น ไม่ใช่เรา ลักษณะของธรรมะหนึ่ง คือ โกรธ ก็คืออย่างนี้ ทั้งหมดต้องไม่ใช่เราเหลือเลย ในชีวิตประจำวัน

ผศ.อรรณพ ยังมีคำถามอีกว่า เมื่อละคลายอกุศลเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ค่อยๆ ละคลายความเห็นผิด ด้วยความเข้าใจ ก็เป็นประโยชน์ เป็นสาระที่ได้จากพระธรรมจริงๆ
ท่านอาจารย์ ก็แน่นอน สาระก็คือ ความเข้าใจถูก ความเห็นถูก
ผศ.อรรณพ ก็คือ ฟังธรรมะมากขึ้น ก็เข้าใจขึ้น ได้สาระในระดับต่างๆ เพิ่มขึ้นๆ นั่นเอง จนถึงสาระที่สุดก็คือ ความจริงแท้แน่นอน ที่ไม่เกิดไม่ดับ ก็คือ พระนิพพาน แต่ก่อนจะถึงความจริงที่ไม่เกิดไม่ดับ ความจริงที่เกิดแล้วดับนี่ ก็ยังไม่ได้ "เข้าถึง" ยังไม่ได้ตรงที่จะรู้ความจริงที่เกิดดับ คือ เห็น ได้ยิน คิดนึก แข็ง อะไรเหล่านี้ สี เสียง ที่มีขณะนี้ ก็ยังไม่ตรง และแม้ฟังธรรมะ ขั้นเรื่องราวก็ยังไม่ตรงขั้นเรื่องราว ไม่ตรงขั้นฟัง ฟังแล้วก็ยังคิดไปทำโน่น ทำนี่ ฟังเรื่องเมตตาแล้วคิดจะทำเรื่องเมตตา ก็ไม่ตรง

ท่านอาจารย์ หนทางไม่ตรง แล้วจะถึงนิพพานได้อย่างไร? จะถึงการละได้อย่างไร? เพราะความไม่รู้ไม่สามารถที่จะละอะไรได้ เพราะฉะนั้น เรื่องรู้ก็คือว่า รู้แล้วละ ไม่มีการที่รู้แล้วจะไปติดข้อง ทำอะไร จะไปสำนักปฏิบัตินี่ ไม่ได้ "ละ" เลย เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ "ความรู้"

คุณณภัทร กราบท่านอาจารย์ครับ เพราะความไม่รู้ ที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรม จึงทำให้ความเข้าใจที่มีอยู่ในทุกวันนี้ ของคนที่ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้เข้าใจ ก็จะคิดว่า คำว่า "ปฏิบัติ" คือ การต้องไปทำสิ่งหนึ่ง สิ่งใด ไม่ว่าจะเป็นนั่งสมาธิ หรือว่า ไปสำนักปฏิบัติ ผมสังเกตุง่ายๆ ว่า ช่วงก่อนหน้านี้ที่มีการกล่าวว่า "สำนักปฏิบัติทำลายคำสอนของพระพุทธศาสนา" ผมก็ได้แชร์ไปในเฟซบุ๊คของผม ผมสังเกตุว่าคนไลค์มีแค่หนึ่งคน (ทุกคนหัวเราะ) คือ มันแสดงให้เห็นว่า เขาไม่ได้เข้าใจ เขาคิดว่าเหมือนเราเห็นผิดด้วยซ้ำ ว่าไปว่าสำนักปฏิบัติทำลายคำสอนพระพุทธศาสนา แต่เขายังไม่เข้าใจเลยว่า คำว่าปฏิบัติ จริงๆ แล้ว คือ อย่างไร? ซึ่งถ้าในตามความเป็นจริง คนทั่วไปก็จะเข้าใจว่า ปฏิบัติคือต้องไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ นี่เป็นโทษของการไม่ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกล่าวว่านับถือพระพุทธศาสนา เขากล่าวกันทั้งนั้นเลย ว่าเขานับถือพระพุทธศาสนา แต่เขาเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า? และถ้าไม่เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขานับถือใคร? เขานับถือ "คนอื่น" เพราะเขาคงไม่ได้คิดเองหรอก เรื่องสำนักปฏิบัติ นอกจากคนที่คิดมีสำนักปฏิบัติ สร้างสำนักปฏิบัติ

คุณณภัทร ก่อนที่ผมจะได้มีโอกาสฟังท่านอาจารย์ ก็ผ่านจุดๆ นั้นมา คือว่า ไปทำเหมือนกัน ไปเดิน ไปนั่ง เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้อะไรจากสิ่งที่ทำ และพอได้ฟัง ก็มีการคิด พิจารณาในสิ่งท่ีได้ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า สิ่งไหนเป็นสิ่งที่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงจริงๆ ว่าความจริงขณะนี้คืออย่างนี้ ไม่ใช่อย่างอื่นที่ต้องไปทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็เป็นเพราะได้สะสมบุญไว้ ที่จะรู้ว่า อะไรถูก อะไรผิด คนผิดเขาจะรู้ไหม? ว่าเขาผิด!!
คุณณภัทร ก็คงไม่ทราบครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ แล้วใครจะเกื้อกูลเขา ให้รู้ว่าเขาผิด? ก็มีแต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไม่รู้หรอก ว่าที่ถูกคืออะไร? ขาก็ยังคิดว่า ที่เขาคิดนั้น ถูกต้อง!!!

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณณภัทร เรืองจันทฤทธิ์
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


  ความคิดเห็นที่ 1  
 
chvj
วันที่ 27 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 2  
 
namarupa
วันที่ 27 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 4  
 
ํํญาณินทร์
วันที่ 28 ส.ค. 2559

ขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 5  
 
intra
วันที่ 28 ส.ค. 2559

กราบเท้าท่านอาจารย์และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 6  
 
khampan.a
วันที่ 28 ส.ค. 2559

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
อนุโมทนาในกุศลศรัทธาของพี่ ณภัทร เรืองจันทร์ฤทธิ์
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 7  
 
Boonyavee
วันที่ 28 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 8  
 
j.jim
วันที่ 28 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 9  
 
wirat.k
วันที่ 29 ส.ค. 2559

.....แล้วใครจะเกื้อกูลเขา ให้รู้ว่าเขาผิด? ก็มีแต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะฉะนั้น ถ้ายังไม่ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาไม่รู้หรอก ว่าที่ถูกคืออะไร? เขาก็ยังคิดว่า ที่เขาคิดนั้น ถูกต้อง!!! .....

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ

 
  ความคิดเห็นที่ 10  
 
ใหญ่ราชบุรี
วันที่ 29 ส.ค. 2559

หอมดอกไม้ละมุนละไมสายลมอ่อน

ขานคำสอนอ่อนหวานสำราญหูู

ใสสายน้ำสะอาดเย็นเห็นความรู้

ท่านกูรูผู้เบิกบานอาจารย์สุจินต์

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
  ความคิดเห็นที่ 11  
 
ปาริชาตะ
วันที่ 30 ส.ค. 2559

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

 
เขียนความคิดเห็น กรุณาเข้าระบบ