นามสูตร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรียนขออรรถาธิบายความหมายของถ้อยคำ แต่ละคำ ใน"นามสูตร" ที่ว่า
๑. ชื่อ ย่อมครอบงำ สิ่งทั้งปวง
๒. สิ่งทั้งปวง ที่ยิ่งขึ้นไปกว่า ชื่อ ไม่มี
๓. สิ่งทั้งปวง เป็นไปตาม อำนาจของ ธรรมอันหนีง คือ ชื่อ
ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชื่อย่อมครอบงำสิ่งทั้งปวง คือ ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้น ย่อมไม่พ้นไปจากชื่อคือสิ่งที่บัญญัติกันขึ้น สิ่งใดใดก็ตามจะพ้นไปจากชื่อไม่มี เพราะว่า สิ่งที่เราไม่รู้จักว่าสิ่งนี้คืออะไร เราก็เรียกชื่อสิ่งนั้น เป็นต้นว่า สิ่งอะไรก็ไม่รู้ ดอกไม้อะไรซักอย่าง ก็ใส่ชื่อสิ่งที่ไม่รู้ ดังนั้น ชื่อจึงครอบงำสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงที่ยิ่งไปกว่าชื่อไม่มี แต่ถ้าเราศึกษาพระอภิธรรม การจะมีชื่อได้หรือบัญญัติสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น บัญญัติตั้งชื่อว่า โต๊ะก็ต้องมีสภาพธัมมะที่มีจริงจึงจะเรียกว่าโต๊ะ เช่น แข็ง เย็น ร้อน เป็นต้น ซึ่งเป็นธาตุดิน..ลม ดังนั้น ชื่อจะมีได้ ก็เนื่องด้วยมีสภาพธัมมะที่มีจริง คือ ปรมัตถธรรม มี จิต เจตสิกรูป ถ้าไม่มีสิ่งที่กล่าวมา ก็จะไม่มี ชื่อ บัญญัติว่าสัตว์ บุคคลเลยครับ
โลกของความไม่รู้ โลกของอวิชชา และ โลกที่เป็นมายา ที่หลอกสัตว์โลกให้ลุ่มหลง ทั้งๆ ที่ขณะนี้ ก็มีเห็น และ ก็มีสภาพธรรมอื่นๆ แต่ ถูกปกปิดด้วยชื่อ สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ชื่อย่อมครอบงำสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวงที่พ้นไปจากชื่อไม่มี เพราะว่าอาศัย ความคิดนึกของจิต ทำให้ มีเรื่องราวต่างๆ เป็นคนนั้นคนนี้ ขณะนั้นก็มีชื่อแล้ว ชื่อที่เป็นสมมติบัญญัติต่างๆ ถูกครอบงำด้วยชื่อ เมื่อมีเรื่องราวต่างๆ ก็ถูกครอบงำว่า มีคนนี้ ทะเลาะกัน เห็นเป็นมโนภาพต่างๆ นั่นคือ เหตุมาจาก ถูกครอบงำด้วยกิเลส ความไม่รู้ ที่ลวงด้วยภาพมายา ในลักษณะต่างๆ กิเลสของตนเองเท่านั้นที่หลอก และ ครอบงำ ฉาบทา และ อาศัยชื่อปิดบังสภาพธรรมด้วยไม่มีปัญญาเข้าใจความจริงในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏแต่ละขณะ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จริงๆ แล้ว อะไรที่มีจริง สิ่งที่มีจริงๆ นั้นไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไปทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ เพราะมีสภาพธรรมจึงมีชื่อ มีบัญญัติเรื่องราวต่างๆ เพราะถ้าไม่มีธรรมแล้ว อะไรๆ ก็ไม่มี แม้แต่ละคนที่เกิดมา ก็ชื่อสำหรับเรียก เพื่อหมายรู้ว่าเป็นใคร ซึ่งถ้าไม่มีความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรม แล้ว ชื่อ ก็ไม่มี และในอรรถกถานามสูตร ยังแสดงอีกว่า แม้สิ่งที่ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร คือไม่รู้ชื่อของสิ่งนั้นๆ คำว่า "ไม่มีชื่อนั่นแหละ" ก็เป็นชื่อของสิ่งนั้นได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมให้เข้าใจก็จะไม่สามารถเข้าใจถูกได้ว่า อะไรคือสิ่งที่มีจริง แม้ไม่เรียกชื่อ ไม่ใส่ชื่อ สิ่งนั้นๆ ก็มีจริง เปลี่ยนแปลงลักษณะ ไม่ได้
หรือแม้แต่ในการฟังในการศึกษาพระธรรม ก็มีชื่อของธรรมมากมาย แต่ก็ไม่ใช่ให้ไปติดที่คำหรือที่ชื่อ แต่เพื่อให้เข้าใจให้ถูกต้องในคำนั้นๆ และเพื่อเข้าถึงตัวจริงของธรรมที่เป็นปรมัตถธรรมจริงๆ ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เป็นการเพลินไปกับการจำชื่อจำคำจำเรื่องราวต่างๆ ในพระไตรปิฎก แต่ไม่ได้น้อมมาเพื่อระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะคำแต่ละคำนั้น ล้วนแสดงเพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามความเป็นจริง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...