การบริจาคภรรยา ... ???
อยากทราบว่า พระโพธิสัตว์ บริจาคภรรยา (ซึ่งบริจาคมาแล้วหลายชาติ) เป็นบารมีได้อย่างไร เพราะคงไม่ใช่ทะเลาะกับภรรยา แล้วบริจาคภรรยา ใช่ไหมครับ
ผู้ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เรียกว่า พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๓๐ ทัศ บริจาคสิ่งใหญ่ๆ ๕ อย่าง เรียกว่าปัญจมหาบริจาค คือ บริจาคอวัยวะ บริจาคชีวิต บริจาคทรัพย์ บริจาคราชสมบัติ บริจาคบุตรภรรยา ทั้งหมดเป็นของที่เป็นที่รักและสละได้โดยยากทั้งสิ้น
เชิญคลิกอ่านได้ที่ ...
การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ เพื่อประจักษ์แจ้ง พระสัมมาสัมโพธิญาณ และตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในแต่ละชาติของพระองค์ เป็นความละเอียด ลึกซึ้งของพระมหากรุณาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระปัญญาธิคุณ ซึ่งยากที่ปุถุชนทั่วๆ ไปผู้ไม่ได้สดับพระธรรมจะพิจารณาเข้าใจได้ แม้ผู้ที่ศึกษาพระธรรม พอจะเข้าใจบ้าง ก็ยังยากที่จะคิด พิจารณา เข้าใจถึงการกระทำทุกอย่างของพระโพธิสัตว์ ในแต่ละชาติได้ โดยเฉพาะการบริจาคบุตร บริจาคภรรยา ครั้งที่พระองค์เป็นพระเวสสันดร ก็ได้กล่าวว่า " บุตรและภรรยา ก็เป็นที่รักของเรา แต่พระโพธิญาณ เป็นที่รักของเรายิ่งกว่า "
คนทั่วไปในสมัยนี้ แม้ความเข้าใจอย่างผิวเผิน ในคำว่า " พระโพธิญาณ " ก็ ยังไม่มี ไหนเลยจะเข้าใจการกระทำของพระเวสสันดรได้ (พระเวสสันดรชาดก จึง เป็นชาดกที่จะ " สูญ " ก่อน เพราะนอกจากเป็นชาดกที่ยาวที่สุดแล้ว ยังเป็นชาดก ที่เข้าใจยากด้วย เช่นเรื่อง การบริจาค บุตร,ภรรยา)
อีกอย่างหนึ่ง พระนางมัทรี (อัครมเหสีของพระเวสสันดร) ก็ได้บำเพ็ญบารมีมาแสนกัปป์ (เพื่อเป็นอัครมเหสีของพระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะในชาติสุดท้าย) เป็นผู้มีปัญญาสะสมมาเพื่อเป็นคู่ของพระโพธิสัตว์มาหลายแสนโกฏิชาติ และชาลี บุตรผู้พี่,กัณหา ธิดาผู้น้องก็ได้สะสมปัญญา บารมีมา เพื่อเป็นบุตรของ พระโพธิสัตว์ มาหลายแสนโกฏิชาติ เหมือนกัน (แม้ว่า กัณหา ได้ตั้งความปรารถนาไม่ขอเป็นบุตรของพระโพธิสัตว์อีก ในตอนที่ถูกชูชกเฆี่ยน ในชาติสุดท้ายจึงเกิดเป็นพระนางอุบลวรรณา)
ทั้งพระนางมัทรี, ชาลีและกัณหา ต่างก็มีความเข้าใจ เรื่อง พระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์เป็นอย่างดี และก็พร้อมที่จะถูกบริจาค เพื่อการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ (พระเวสสันดร)
ทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องของความเข้าใจ ในพระธรรม ที่ได้สะสมอบรมมาทั้งนั้น ผู้ที่เป็น พุทธบิดา พุทธมารดา พุทธอนุชา หรือญาติ พี่ น้อง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ล้วนได้สะสมอบรมบารมีมาทั้งนั้น คือ ได้กระทำเหตุที่สมควรแก่ผล ตั้งความปรารถนา และสะสมสาวกบารมีญาณ มาอย่างน้อย แสนกัปป์ ถ้าเป็นอัครสาวกต้องบำเพ็ญบารมีอย่างน้อย 1 อสงขัยแสนกัปป์ ครับ
เป็นประเพณีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ต้องบำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ ทานบารมี เสียสละทรัพย์ อุปบารมี บริจาคอวัยวะ บุตร ภรรยา ปรมัตถบารมี การเสียสละชีวิต เป็นต้น แต่ละพระองค์ก็บำเพ็ญนานไม่เท่ากัน เช่น พระพุทธเจ้าของเราพระนามว่าสมณโคคม เป็นปัญญาบารมี บำเพ็ญ ๔ อสงไขย์แสนกัปป์ ถ้าเป็นศรัทธาก็ ๘ อสงไขย์แสนกัปป์ ถ้าเป็นวิริยะ ก็ ๑๖ อสงไขย์แสนกัปป์ เป็นต้น การที่พระพุทธเจ้า จะอุบัติขึ้นไม่ใช่ของง่ายพวกเรามีบุญแล้วที่ได้อยู่ในสมัยที่พระธรรมคำสอนยังอยู่ ขอ ให้พวกเราศึกษาต่อไปนะค่ะ
"บุตรและภรรยา ก็เป็นที่รักของเรา แต่พระโพธิญาณ เป็นที่รักของเรายิ่งกว่า " ซาบซึ้งจังเลยค่ะ แสดงถึงพระมหากรุณาที่มีต่อสัตว์โลก โดยไม่นึกถึงความสุข ส่วนพระองค์เลยจริงๆ
ขออนุโมทนาค่ะ
ผมมีภรรยาอันเป็นที่รัก แต่ผมคิดว่าถ้าเธอไม่รักผมแล้วและรักคนอื่นและประสงค์ที่จะไปอยู่กับคนอื่น ผมก็ยินดีที่จะให้เธอไปโดยดี ด้วยความจริงใจที่ว่าอยากให้เธอมีสุข ผมอาจจะเสียใจ แต่นั้นเป็นเรื่องของผมที่จะจัดการกับความทุกข์ให้ได้เอง อันนี้ เข้าข่ายมีเจตนาบริจาคภรรยาหรือเปล่าครับ
พระโพธิสัตย์บริจาค บุตร ภรรยา เพื่อพระโพธิญาณ ท่านบริจาคแล้วไม่เป็นทุกข์ ส่วนในกรณีของคุณก็ต้องขึ้นอยู่กับจิตที่บริจาคแล้วเป็นกุศลหรือเปล่า ถ้า บริจาคแล้วเป็นทุกข์ ขณะนั้นเป็นอกุศลจิต แต่ก็สลับกับกุศลจิตก็ได้ เพราะเราเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อให้เขามีความสุข บริจาคภรรยาก็อยู่ที่เจตนาให้ค่ะ
ครับ ถ้าให้แล้วเสียดายเกิดความโกรธนั้นคือ โทสะเกิด และถ้าอยากได้กลับคืนนี่ก็จะเพิ่มอีกกระทงคือ เกิดโลภะขึ้นอีกต่างหากใช่ไหม๊ครับ ถ้าเช่นนั้นถ้าไม่ได้มีจิตใจที่ ให้แบบเป็นการให้เพื่อปรารถนาที่จะให้ความสุขแก่ผู้อื่น และเราก็เกิดความสุขที่ได้ให้ความสุขกับคนอื่น โดยไม่เห็นแก่ความสุขของตัวเอง ก็ไม่ควรจะให้ จริงไหม๊ครับ ดังนั้น จะให้ต้องตรวจดูเจตนาของตัวเองให้มั่นใจซะก่อนจริงไหม๊ครับ
กรรมใดทำแล้วเดือดร้อนในภายหลังมีหน้านองด้วยน้ำตา กรรมนั้นไม่ควรทำ ส่วนกรรมใดทำแล้วไม่เดือดร้อนในภายหลังกรรมนั้นควรทำ มีจิตผ่องใส กาย วาจา ใจใดที่ทำแล้วกุศลจิตเกิดก็ทำ ส่วนกายวาจา ใจใดที่ทำแล้วเกิดอกุศลจิต ไม่ควรทำ มีชาดกอยู่เรื่องหนึ่งที่เขาก็บริจาคภรรยาให้คนอื่น ตอนหลังเขาก็เกิดเสียดาย แต่พอได้ฟังธรรมะเขาก็ไม่เสียดาย ฉะนั้น คนที่พูดว่าจะให้แล้วให้ยาก ส่วนคนที่ให้แล้วไม่เสียดายยากกว่า
เห็นด้วยค่ะว่า สิ่งที่ยากกว่าการให้ คือ ให้แล้วไม่เสียดายภายหลัง จิตที่ยินดีทั้งก่อนให้ ขณะให้ และหลังการให้ หรือหลังการให้ไปนานแล้วนึกถึงทีไรก็ยังยินดีอยู่ ยากจริงค่ะ
ถ้าเป็นเพียงอรหันตสาวกธรรมดา ที่บำเพ็ญบารมี ไม่ถึง แสนกัปป์ ก็ไม่ต้องบริจาคบุตร หรือภรรยา ใช่หรือไม่ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ต้องบริจาค บุตร ภรรยาด้วยจิตที่คิดว่า การสละครั้งนี้เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า หรือแม้การสละสิ่งของต่างๆ ธรรมดาของพระโพธิสัตว์ก็เป็นไปด้วยจิตน้อมไปในการเป็นพระพุทธเจ้า แต่ตามธรรมดาของเราทั่วๆ ไปนั้น แม้บุคคลที่จะเป็นพระสาวก การบริจาคสิ่งของทั่วไปก็ไม่ได้ตั้งจิตเพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า เพราะสะสมอัธยาศัยและความปรารถนามาต่างกัน ดังนั้น ถามว่าการบำเพ็ญบารมีของสาวกทั่วไป การให้ของท่านไม่ว่าจะให้สิ่งใด จิตก็น้อมไปในความเป็นพระสาวก เพราะสะสมมาอย่างนั้น บางครั้งก็มีการบริจาคภรรยา เป็นต้น แต่จิตก็ไม่ได้น้อมไปเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า และที่สำคัญการจะเป็น พระพุทธเจ้านั้นจะต้องสละหมด ดุจหม้อคว่ำไม่มีเหลือ ดังนั้นการบริจาค บุตร ภรรยา จึงเป็นสิ่งที่ต้องบริจาคสำหรับพระโพธิสัตว์ แต่สาวกไม่จำเป็น แต่ถามว่ามีบริจาคไหม ก็มี ดังเช่น อดีตชาติของพระอานนท์ครับ ลองอ่านดูนะ
เรื่อง การบริจาคภรรยาของอดีตชาติพระสาวก
[เล่มที่ 59] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๕ - หน้าที่ 256
ข้อความบางตอนจาก ...
ทสัณณกชาดก
ครั้งนั้น บุตรของราชปุโรหิตมาเฝ้าในหลวง เห็นอัครมเหสีของพระราชา ผู้ทรงพระรูปโฉมสูงส่งทรงประดับเครื่องทรงครบถ้วน มีจิตปฏิพัทธ์ ไปบ้านแล้วนอนอดอาหาร ถูกเพื่อนฝูงถามจึงบอกเนื้อความนั้น. พระราชา ตรัสถามว่า ไม่เห็นบุตรของปุโรหิต ไปไหนเล่า? ได้ทรงทราบเนื้อความ นั้นแล้ว จึงตรัสสั่งให้เขาเข้าเฝ้า แล้วตรัสว่า ฉันจะมอบให้ท่าน ๗ วัน จะเอาพระอัครมเหสีนี้ไปไว้ที่บ้าน ๗ วัน ในวันที่ ๘ จึงนำมาส่ง. เขารับพระบรมราชโองการแล้ว นำอัครมเหสีไปบ้านร่วมอภิรมย์กับพระนาง (พระราชาได้เป็นพระอานนท์ ผู้เป็นพระสาวก)
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
การบริจาคบุตรภริยา ให้ทั้งๆ ที่ยังรักและยังมีความสามารถที่จะเลี้ยงดูได้ทำได้ยากจึงเป็นบารมี ต่างจากวัยรุ่นใจแตกสมัยนี้ที่ให้เพราะเบื่อหรือไม่อยากแบกรับภาระ
ถ้าดูจากบารมี ๓๐ ทัศ คือ บารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ ผู้ปรารถนาเป็นเพียงสาวก คงจะบำเพ็ญบารมี เพียง ๑๐ ใช่หรือไม่ ครับ การบริจาค บุตร และภรรยา เป็นอุปบารมี จึงไม่จำเป็น
บารมี ๓๐ ทัศ เป็นการบำเพ็ญบารมีเฉพาะผู้ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้าเท่านั้นครับ
แล้วถ้าเกิดเราให้ซีดี หนังสือของท่านอาจารย์สุจินต์กับเพื่อนไป แล้วเขาไม่ฟัง ไม่สนใจ เรารู้สึกเสียดายอยากจะขอคืน อย่างนี้จะเป็นอกุศลหรือเปล่าคะ