ติดวิชาการ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
1. บางท่าน มีความเห็นว่า พวกเรา มักติดวิชาการ เรียนธรรมแบบวิชาการ เรียนชื่อเรียนความหมาย เรียนเรื่องราว แต่ไม่เคยสังเกตลักษณะสภาพธรรม ก็มี บางท่านแย้งว่า เรียนยังไง ก็ไม่พ้น วิชาการ สังเกตยังไงก็ไม่พ้นความเป็นตัวตน ที่ควรจะเป็น คือ เรียนด้วยความละเอียดรอบคอบ ด้วยการพิจารณาไตร่ตรอง ที่สำคัญ คือ เรียนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ไม่ใช่อยากได้ ใข้แสวงหา ลาภ ยศ สรรเสริญฯ สิ่งตอบแทน ซึ่งอย่างนี้ถึงจะเข้าเกณฑ์อลัทคัททูปริยัติ และการสังเกต ที่ว่านั้น อาจจะ เป็นการจดจ้อง เป็นการคิดนึกไปเอง หรือเปล่า ก็คิดนึกไป ห้ามไม่ได้ จะเรียนธรรม แบบไม่มีชื่อ ไม่มีคำ ไม่มีเรื่องราว มีที่ไหนบ้าง จะมี จะเป็นไปได้หรือ จะกล่าว ติติงว่า "ติดวิชาการ" นั้น จะเป็นประโยชน์อันใด ยังไงๆ ก็ต้องเรียนกันอย่างนี้ต่อไป
2. บางท่าน มีความเห็นว่า จะขาดการเรียนแบบวิชาการที่ว่านั้น ได้อย่างไร ที่ฟังท่านอาจารย์ ก็เป็นวิชาการ เป็นเรื่องราวของธรรม ฟังไปๆ สะสมข้อมูลไป จนกว่าจะเกิดความรู้ความเข้าใจจริงๆ จนกว่าจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ สติสัมปชัญญะเกิดระลึกรู้ลักษณะสภาพธรรม ทีละเล็ก ทีละน้อย ไม่ควรต้อง เสียเวลา คิดมากว่า กำลัง "ติดวิชาการ" อยู่ ไม่ดี ไม่ควร สู้มา ตั้งหน้าจะสังเกตลักษณะสภาพธรรม ดีกว่า
เรียนขอความเห็นและคำแนะนำด้วยค่ะ
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ดังนี้
สุ. คือว่าการศึกษาโดยขั้นปริยัติ หรือโดยปฏิบัติ ศึกษาจริงๆ ไม่ใช่ฟังแล้วจำชื่อ หรือเข้าใจโดยความคิด แต่ไม่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรม ทั้งๆ ที่สภาพธรรมขณะนี้ก็คือ จิต เจตสิก รูป กำลังเกิดดับ แต่กำลังเรียน กำลังพูดเรื่องจิต เจตสิก รูป ไม่ว่าจะเป็นภายใน ภายนอก หรืออะไรก็ตามก็เป็นเพียงชื่อ ยังไม่รู้ลักษณะแท้จริงของจิต เจตสิก รูป
เพราะฉะนั้นจุดประสงค์ของการศึกษาไม่ใช่เพื่อให้ศึกษาเรื่องราว แต่ศึกษา หรือสิกขา ที่เป็นอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา คือ ศึกษาสภาพที่มีจริงๆ และจะรู้ความละเอียดทั้งหมดที่เรียนมาตรงลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ที่ปรากฏให้รู้ ไม่ว่าจะกล่าวถึงรูป โดยนัยที่เป็นหยาบ ละเอียด ใกล้ ไกล เลว ประณีต ภายใน ภายนอก อย่างไรก็ตามแต่ รูปเป็นจริงอย่างนั้น แต่รูปทุกรูปเกิดดับเร็วมาก
เพราะฉะนั้นราก็รู้แต่ว่า รูปเป็นจริงอย่างนั้น แล้วก็เกิดดับเร็วมาก แล้วก็ใกล้ไกล แล้วก็หยาบ ละเอียด แล้วก็เลว ประณีต แต่ไม่รู้ลักษณะของรูปสักรูปเดียว เพราะว่าเกิดแล้วดับแล้วขณะนี้ เพียงแต่รู้โดยการฟังและรูปก็มี แต่ไม่ปรากฏกับอวิชชา
สภาพปรมัตถธรรมมีจริงๆ แต่อวิชชาไม่สามารถจะรู้ได้เลย ปัญญาขั้นปริยัติก็เพียงแต่เริ่มก้าวเข้าไปสู่เรื่องราวของปรมัตถธรรมด้วยความเข้าใจจากการพิจารณา จากการไตร่ตรอง จากการฟังด้วยดีที่จะรู้ว่า เป็นสภาพธรรมอย่างไร เกิดขึ้นไม่ใช่ตัวตนอย่างไร ดับอย่างไรเท่านั้น แต่การศึกษาแท้จริงคือศึกษาพร้อมสติสัมปชัญญะ ที่กำลังมีลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้รู้ว่า ตรงตามที่ได้ศึกษาทุกอย่าง แม้แต่คำแรกว่า เป็นธรรม ก็คือไม่มีใครไปให้สติเกิด ไม่มีใครให้แข็งเกิด ไม่มีใครให้เห็นเกิด ทุกอย่างมี แต่ที่จะมีได้ ทรงแสดงไว้ในคัมภีร์สุดท้าย คือ ปัจจัย หรือปัฏฐาน
เพราะฉะนั้นการศึกษาของเรา ก็คือเราเข้าใจปรมัตถธรรม แล้วเรารู้ว่า เรากำลังศึกษาเรื่องที่มีจริง เพื่อที่จะรู้ลักษณะที่มีจริง เพื่อการประจักษ์แจ้งสิ่งที่มีจริง จึงไม่ใช่ทัพพีที่ไม่รู้รสแกง หรือไม่ใช่ใบลานเปล่า เพราะเหตุว่ามีแต่เรื่องราว แต่สภาพธรรมที่มีจริงๆ ขณะนี้ สามารถจะค่อยๆ อบรมปัญญาทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะรู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้นๆ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สำคัญที่การเริ่มต้นด้วยการฟังด้วยการศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย การศึกษาพระธรรมที่ถูกต้องนั้น ไม่ใช่แบบวิชาการ แต่เป็นไปเพื่อขัดเกลาละคลายกิเลส มีความเห็นผิด ความไม่รู้ เป็นต้น เพราะมีการทรงตรัสรู้ความจริง และทรงแสดงความจริงที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สัตว์โลกจึงมีโอกาสได้ฟังและมีความเข้าใจถูกเห็นถูกตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่มีจริงทั้งหมด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงเกื้อกูลให้สัตว์โลกได้รู้ตาม
แทนที่จะไปคิดอย่างอื่น ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ถ้ามีความตั้งใจจริงๆ เห็นประโยชน์จริงๆ ไม่ขาดการฟัง ไม่ขาดการศึกษา ความรู้ความเข้าใจ ก็จะค่อยๆ เจริญขึ้นอย่างแน่นอน ทำให้มีความมั่นคงในเหตุในผลของธรรมจนกว่าจะประจักษ์แจ้งได้จริงๆ ว่าธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพราะเหตุว่า เมื่อเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ว ต้องฟังคำของพระองค์ ไม่ใช่ฟังคำของคนอื่น และไม่คิดธรรมเอาเองด้วย ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...